Friday, May 24, 2019

บทที่ 3 เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ

ปณาลีเรียนจบเฉพาะทางจากสาขาการให้ยาระงับความรู้สึกสำหรับผ่าตัดหัวใจ หลอดเลือดใหญ่ และทรวงอก ปัจจุบันเป็นวิสัญญีแพทย์ประจำศูนย์รักษาโรคหัวใจของโรงพยาบาลในเขตปริมณฑลแห่งหนึ่ง โดยส่วนใหญ่จะเดินทางไปทำงานแบบไปกลับ บางครั้งต้องนอนค้างที่บ้านพักของโรงพยาบาล แต่บางวันก็มีงานที่โรงพยาบาลในเขตกรุงเทพฯ
การพาครอบครัวแยกออกจากบ้านประจำตระกูลของสามีมาอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมติดสถานีรถไฟฟ้าจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ แม้จะถูกพ่อสามีกับแม่เลี้ยงบ่นว่าอยู่บ้างก็ตาม โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก ที่ทำให้เธอกับธีวริทธิ์ต้องยอมรับข้อเสนอจากครอบครัวสามีในการช่วยดูแลสาวน้อยในวันที่เธอจำเป็นต้องค้างที่โรงพยาบาล
วันนี้มัทนาแวะมาทานข้าวเย็นด้วยกะทันหันแบบไม่ได้บอกล่วงหน้า โดยอ้างว่ามาเพราะคิดถึงหลาน แต่ก่อนที่จะถูกปณาลีตั้งคำถามด้วยความสงสัย อีกฝ่ายก็ไขข้อข้องใจให้ฟังว่า...
"รุ้งบอกเราให้ช่วยหาทางยุเปิ้ลให้ตามคุณธีไปภูเก็ต"
"ถ้าหาใครมาดมซีวีทีแทนได้ เราก็อาจจะไป"
"ถามจริง?"
"จริง"
"งั้นเดี๋ยวเราลองถามดูให้นะ"
ปณาลีเลิกคิ้วพลางหัวเราะและรีบยั้งเพื่อนไว้เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะใช้โทรศัพท์ "โอ๊ยยย เราล้อเล่น!"
"เอาไงแน่เนี่ย" มัทนาทำหน้านิ่วมองอย่างค้นคว้า
"แต่นี่ก็แปลว่ายายรุ้งยังไม่เลิกหาทางให้เราจัดการกับนิศามนอีกเหรอ"
ล่าสุดพราวรุ้งยังคงส่งภาพถ่ายตอนธีวริทธิ์อยู่กับนิศามนมาให้เธอดู บอกว่าได้มาจากเจนจิราอีกที ภาพชุดนั้นเป็นเหตุการณ์ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง แม้พลิศจะไปด้วยแต่ภาพที่ได้มาไม่มีพลิศอยู่ด้วยเลย คนที่เธอรู้จักในภาพจึงมีแต่ธีวริทธิ์กับนิศามนเท่านั้น ปณาลียอมรับว่าภาพทั้งหมดทำให้เธอร้อนรนจนแทบทนไม่ได้ แต่ไม่ใช่เรื่องที่นิศามนดูสวยสดใสชวนให้อิจฉา แต่เป็นเพราะสายตาของธีวริทธิ์ที่เหมือนจะมองหล่อนราวกับหลงใหลอย่างลึกซึ้งและอ่อนหวานนั่นต่างหาก ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้ปณาลีรู้สึกถอดใจและไม่อยากพยายามอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการหว่านเสน่ห์ใส่สามีหรือการใส่ใจดูแลตัวเองให้ดูดีขึ้นด้วยวิธีการต่างๆ นานาซึ่งลองทำมาได้เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว
 "รุ้งเขาไม่ชอบมนเอามากๆ มานานแล้วล่ะ ก็ผู้ชายที่เขาเคยแอบรักตั้งสองคนดันไปชอบมนทั้งคู่ แล้วมันก็มีเรื่องให้หมั่นไส้และอิจฉาเด็กคนนั้นมาตลอดแหละ"
"แล้วมิ้นท์ว่าจริงๆ นิศามนเป็นคนยังไง"
"ไม่รู้สิ เราก็ไม่ค่อยได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ แต่เท่าที่เห็นเขาก็น่ารักดีนะ"
"นั่นสิ ขนาดเราเจอหนเดียวยังคิดว่าเขาน่ารักเลย แล้วคนที่ทำงานกับเขาตลอดจะรู้สึกยังไง...โดยเฉพาะผู้ชาย"
"เขาเป็นผู้หญิงในแบบที่ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบ สวยหวานพอดีๆ ท่าทางเรียบร้อยน่ารักแถมยังทำงานเก่งอีกต่างหาก ก็ไม่แปลกหรอกที่ผู้ชายจะปิ๊งผู้หญิงจะอิจฉา"
"นั่นสิ แล้วเท่าที่แอบตามส่องดู...คุณธีก็เหมือนจะปลื้มเขาไม่น้อยเลย ดูสนิทกันมากขึ้นทุกทีด้วย ถึงรวมๆ มันก็น่าจะเป็นเพราะเรื่องงาน แต่อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เพราะความใกล้ชิด..."
"พูดแบบนี้แปลว่าแอบคิดมาก... ถ้ากังวลก็ตามเขาไปภูเก็ตด้วยเลย"
"เราอยากไปมากเลยนะ แต่ก็ไม่อยากไป..."
มัทนาเลิกคิ้วก่อนจะหัวเราะอย่างอ่อนใจพลางสันนิษฐาน "ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้เปิ้ลตัดสินใจว่าจะหนักแน่นและเชื่อใจเขา ก็น่าจะเป็นเพราะว่าถอดใจและตั้งใจจะปล่อยไปตามเวรตามกรรม...?"
"ก็คงทำนองนั้น"
"แล้วอะไรกันที่ทำให้เปิ้ลหวั่นไหวได้ขนาดนี้ เท่าที่จำได้เราว่าเราไม่เคยเห็นเปิ้ลเป็นคนที่ถอดใจกับอะไรง่ายๆ แบบนี้เลยนี่นา ไปเจอหลักฐานอะไรเข้าเหรอ"
"เปล่าหรอก อาจจะเป็นเพราะปัจจัยหลายๆ อย่างรวมกัน เราแต่งงานกันมานานแล้ว มันก็ไม่แปลกที่เขาจะเบื่อ..."
"ไม่เบื่อหรอก ยังไม่เต็มเจ็ดปีเลย"
"ที่ผ่านมาเราทำตัวไม่ค่อยน่ารักกับเขาด้วยแหละ ปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายคอยเอาใจตลอดเลย"
"อะไรกัน เปิ้ลน่ารักจะตายไป น่ารักในแบบของเปิ้ล เราเองยังรักเปิ้ลเลย ใครๆ ก็รักเปิ้ลทั้งนั้น"
"มันไม่เหมือนกันนะ"
"นั่นสินะ..." มัทนาพูดพลางถอนใจเบาๆ "เรายังไม่ได้แต่งงานแต่ก็คิดว่าบางที...คนเป็นสามีอาจจะคาดหวังอะไรจากตัวภรรยามากกว่าคนที่เป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้อง แต่ถ้าเป็นเรา...เราคงไม่มีวันเบื่อเปิ้ลหรอก คุณธีเองก็ไม่เหมือนคนที่จะเบื่อเปิ้ลได้เลยสักนิดเหมือนกัน" กล่าวปิดท้ายด้วยท่าทีเชื่อมั่นจนคนฟังอดยิ้มหวานไม่ได้
"แต่ถ้าอยู่ๆ เขาไปเจอผู้หญิงที่ดีกว่า บางทีมันก็อาจจะอดเปรียบเทียบไม่ได้และทำให้หวั่นไหว ถ้าเรื่องมันแย่ขนาดนั้นจริงๆ เราก็คงโทษใครไม่ได้ เพราะก็ยอมรับว่าตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเราค่อนข้างเอาแต่ใจ อวดดี แล้วก็ชอบกวนประสาทเขา มากกว่าจะเป็นภรรยาที่น่ารัก พอเขามีโอกาสไปใช้เวลาร่วมกับคนที่ทำตัวน่ารักกับเขามากกว่าจนเผลอใจ มันก็อาจจะกลายเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ขึ้นมา..."
"ผู้ชายที่เอาภรรยาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่เพิ่งเจอไม่นานแล้วตัดสินแบบนั้น มันก็มีแต่พวกผู้ชายห่วยแตกขี้แพ้และเห็นแก่ตัวมากๆ เท่านั้นแหละ ภรรยาที่บ้านที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ต้องรับรู้ และเผชิญปัญหาทุกอย่างร่วมกันมาตลอดระยะเวลาหลายปี มันจะไปเหมือนเมียน้อยที่สามารถทำตัวเป็นความสบายใจให้เขาได้อย่างเต็มที่ เพราะไม่ต้องมีเรื่องจุกจิกหรือปัญหาครอบครัวมาคิดให้ปวดหัวนอกจากคอยออเซาะฉอเลาะได้ยังไง ลองได้แต่งงานเป็นผัวเมียกันจริงๆ แล้วเจอปัญหาบ้างผู้หญิงพวกนั้นก็อาจจะสติแตกจนทำตัวน่ารักอย่างตอนที่เป็นเมียน้อยเขาไม่ไหวเหมือนกัน"
พอได้ฟังเนื้อหาอันเคร่งเครียดจริงจังจากน้ำเสียงเรียบๆ ที่เกือบจะไร้อารมณ์ของมัทนาแล้ว ปณาลีก็พลันทำตาโตมองเพื่อนอย่างประหลาดใจ "มิ้นท์ยังไม่มีครอบครัวแต่ทำไมถึงเข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้ขนาดนี้ล่ะ"
มัทนาหัวเราะเก้อๆ "เรื่องทั่วๆ ไปแบบนี้ใครเขาก็เข้าใจมะ?"
"ไม่หรอก คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจนะ เราเองบางทียังหาคำตอบให้ตัวเองสำหรับปัญหาจากบางสถานการณ์ไม่ได้เลย"
"แต่เอาเป็นว่า...ถ้ามันเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมา ต่อให้ทำใจได้และไม่คิดจะโทษผู้ชาย เราก็อย่าโทษตัวเองเด็ดขาด เพราะเรื่องบางเรื่องมันก็ไม่มีใครผิด นะเปิ้ล..."
"ไม่หรอก เราแค่ตั้งใจว่าจะยอมรับทุกอย่างที่มันอาจเกิดขึ้นโดยไม่ไปเหนื่อยกับมันอีกแล้วเท่านั้น"
"ตายจริง ที่เรามาหาก็เพราะเป็นห่วงเธอนะ ไม่ได้จะมาพูดให้ยิ่งจิตตกไปกันใหญ่ นี่ไม่คิดมากใช่ไหม"
"บอกตามตรง คิดมากจนไม่รู้จะมากยังไงแล้ว แต่เราว่าเราทำทุกอย่างที่ควรในแบบของเราทำไปหมดแล้วล่ะ คงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้จริงๆ ซึ่งจากที่เห็นเราก็ค่อนข้างมั่นใจนะว่าเขายังรักเราไม่เปลี่ยนแปลง แต่ที่ยังแอบหวั่นใจก็เพราะกลัวว่าเขาจะเผลอไปมีใจให้คนอื่นด้วยทั้งที่ยังรักเราเท่าเดิม ถ้ามันเป็นแบบนั้นแล้วเขาต้องเลือก..."
"งั้นก็พูดกับเขาไปตรงๆ เลยสิ"
"ทำไมเราพูดไม่ออกก็ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเพราะกลัวคำตอบละมังถึงเอาแต่เลี่ยง... ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าเอาเข้าจริงตัวเองจะอ่อนแอขนาดนี้ได้ กลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้วเห็นสายตาที่หวั่นไหวของเขา หรือเขายอมรับว่ามีใจให้คนอื่นจริง... เราจะทนไม่ได้"
มัทนามองเพื่อนด้วยความเห็นใจอย่างสุดซึ้ง "กระทั่งเปิ้ลยังเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย"
"นั่นสิ ลึกๆ มันเผลอคิดอยู่ตลอดเลยว่า...ถ้ามันเป็นอย่างที่กลัวจริงล่ะก็ ต่อให้เราพยายามแค่ไหนก็คงสู้ผู้หญิงคนใหม่ของเขาไม่ได้อยู่ดี เวิ่นเว้ออยู่คนเดียวแต่ไม่กล้าพูดออกไปแบบนี้มันไม่ใช่นิสัยของเราเลยนะ ปกติเราปากดีจะตาย...ว่าไหม" ว่าแล้วก็ยิ้มเพลียๆ พร้อมกับถอนใจเฮือก "อีกอย่าง...ถ้ามันไม่ได้มีอะไร แล้วเราไปหาเรื่องก้าวก่ายงานของสามี มันก็คงเป็นการยุ่งไม่เข้าเรื่องที่ไม่เข้าท่าเลยจริงๆ"
"เราว่าเราพอจะเข้าใจเปิ้ลนะ อย่างบางทีเวลาดูละครเราถึงไม่เข้าใจกับตรรกะนางเอกบางคนที่คอยทำตัวเป็นคนดียื่นมือไปสอดเรื่องคนอื่นด้วยเหตุผลว่าเป็นห่วง...ต่อให้อีกฝ่ายเป็นคนในครอบครัวเดียวกันก็เถอะ เพราะเจ้าตัวเขาก็ด่าอยู่ปาวๆ ว่าอย่ายุ่งกับชีวิตเขา ถ้ามันจะต้องเจ็บปวดในท้ายที่สุดเขาก็ยินดีจะยอมรับผลของมันอย่างเต็มใจ เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง"
"..."
"แต่เราว่ากรณีนี้ของเปิ้ล เปิ้ลมีสิทธิ์ก้าวก่ายอย่างเต็มที่นะ เพราะมันคือชีวิตของเปิ้ลเอง เขาคือสามีของเธอและพ่อของลูก"
"เอาเป็นว่า...ขอรอดูไปอีกสักพักดีกว่า เรายังไม่อยากตีตนไปก่อนไข้"
"งั้นก็...ตามใจเปิ้ลละกัน บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรอย่างที่กังวลเลยก็ได้"
หลังจากนั้นมัทนาก็ชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้เพื่อนคิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ซึ่งความน่ารักของมัทนาก็ทำให้ปณาลีรู้สึกดีขึ้นได้จริงๆ

ธีวริทธิ์ติดต่อภรรยาไม่ได้เลยตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งบินไปถึงภูเก็ต เกือบสี่สิบแปดชั่วโมงที่ผ่านมาเขาได้รับข้อความตอบกลับจากเธอแค่ประโยคเดียวสั้นๆ เมื่อคืนนี้ว่า...'เดี๋ยวว่างแล้วจะโทรกลับนะคะ'
เขาเข้าใจหน้าที่ความรับผิดชอบและภาระในการงานของเธอเป็นอย่างดี ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้เขาก็ไม่อาจเพิกเฉยได้จริงๆ ซึ่งอาการของเขาในวันนี้คงดูวุ่นวายใจอย่างเห็นได้ชัด นิศามนจึงรู้สึกผิดสังเกตและออกปากถามด้วยความอดสงสัยไม่ได้
"คุณธีมีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ หรือว่ารายงานประชุมที่ให้ไปยังไม่โอเค..."
เขาเงยหน้าจากมือถือหันไปมองคนที่นั่งเบาะด้านข้างภายในรถตู้ด้วยสีหน้างงๆ เล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า "เปล่าครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี"
"ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกมนได้นะคะ ถ้าเป็นเรื่องในทีมมนจะรีบจัดการให้ทันที พักนี้คุณแพตคงไม่มีเวลาเข้าออฟฟิศสักเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณธีมีอะไรเร่งด่วนแจ้งผ่านมนได้เลย คุณแพตเคลียร์คิวให้ได้ตลอดค่ะ" วันนี้พลิศก็ติดงานอื่นเช่นกัน เลยต้องให้นิศามนมาพบเอเจนต์จากจีนและดูไบกับธีวริทธิ์แทน นอกจากสตาร์ตอัพตัวนี้แล้วพลิศยังต้องรับผิดชอบงานในส่วนของธุรกิจครอบครัวที่เขาทำมาตลอดด้วย
"จริงๆ ในฝั่งสตาร์ตอัพเราค่อนข้างมีปัญหายุ่งยากกับทางเดลต้าอยู่ครับ แต่ผมเชื่อว่าแพตจะปิดดีลได้ภายในอาทิตย์นี้ก็เลยไม่ได้ติดใจอะไร นอกนั้นก็ไม่มีอะไรต้องห่วงเลย"
"ค่ะ"
"แต่ว่า...ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม"
"คะ?"
"คุณแต่งงานรึยัง"
คำถามไม่คาดคิดดังกล่าวทำให้นิศามนกะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเขากระจ่างนัก เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาธีวริทธิ์ไม่เคยตั้งคำถามในทำนองนี้ และไม่เคยมีทีท่าว่าจะสนใจเรื่องส่วนตัวของใครเลย
"น่าจะยังสินะ" ชายหนุ่มสรุปเอาเองจากปฏิกิริยาของเธอ "แล้วมีแฟนรึเปล่า"
"เอ่อ... คือ..."
ท่าทีอึกอักของเธอทำให้เขาสรุปเองว่าเธอมีคนรักแล้ว "ช่วยบอกผมหน่อยสิว่า ปกติแล้วคุณจะขาดการติดต่อกับแฟนนานที่สุดกี่ชั่วโมง แล้วส่วนใหญ่เป็นเพราะอะไร"
เธอฟังคำถามแล้วหัวเราะแห้งๆ "มนยังไม่มีแฟนเลยค่ะ"
"อ้าว..."
"ขอโทษนะคะ"
"ไม่เป็นไร" ชายหนุ่มบอกและยิ้มอย่างไม่ถือสาก่อนจะเลิกสนใจเธออีก แล้วหันไปหาที่พึ่งใหม่เป็นคนนั่งเบาะด้านหลังเขา "แล้วคุณล่ะ"
"ส้มแต่งงานมาสี่ปีแล้วนะคะ ไม่ได้งอนแฟนแบบนั้นมาตั้งนานแล้วล่ะค่ะ ลืมโมเมนต์พวกนั้นไปหมดแล้ว"
"แต่ผมแต่งงานกับภรรยามาเกือบเจ็ดปีแล้วนะ แล้วทำไม..." เขาพูดแล้วชะงักไป
"หมายถึงตอนนี้คุณหมอเธอกำลังงอนอะไรเจ้านายอยู่งั้นหรือคะ... เอ่อ...ขอโทษนะคะที่ละลาบละล้วง..."
"ไม่เป็นไร ผมเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน" เขาบอกให้ผู้ช่วยคลายใจ "ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้เขางอนหรืออะไร แต่เขาไม่รับสาย ไม่อ่านข้อความ แล้วติดต่อกลับค่อนข้างช้าผิดปกติ ทั้งที่รู้ว่าวันนี้ผมต้องมาทำงานต่างจังหวัด มันค่อนข้างผิดสังเกตมาก เพราะถึงบางทีจะทำเหมือนไม่สนใจแต่ผมรู้ว่าเธอแคร์ผมมาก และจัดผมให้เป็นความสำคัญในลำดับต้นๆ เสมอ ไม่เคยละเลยผมนานขนาดนี้"
"แค่วันสองวันนี่นานแล้วหรือคะ..."
"นานสิ นานมาก"
คำพูดที่สวนกลับมาทันควันเหมือนขัดใจอย่างยิ่งของธีวริทธิ์ทำให้คนเป็นผู้ช่วยต้องกลั้นยิ้ม และแอบคิดในใจ...ผู้ชายท่าทางภูมิฐานและมีความน่าเชื่อถืออย่างเต็มเปี่ยมอย่างเจ้านายเธอ เวลาที่งอแงเพราะเมียไม่สนใจก็น่ารักดีเหมือนกัน... 
"ส้มว่าเธอคงไม่ว่างจริงๆ ละมัง ปกติคนเป็นหมอจะงานยุ่งมากไม่ใช่หรือคะ"
"แต่เปิ้ลไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เราสองคนออกจะ..." ธีวริทธิ์ชะงักคำพูดที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวเอาไว้อย่างนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรหลุดปากออกไปมากกว่านั้น แล้วจึงพยายามส่งข้อความหาภรรยาต่อไปโดยไม่ชวนใครคุยต่อ เขาไม่สนใจเลยว่าตัวเองจะถูกคนในรถจับตามองด้วยความสงสัย แถมยังถูกนินทาอยู่ในใจกันเงียบๆ ด้วย

ในที่สุดคืนนั้นปณาลีก็ส่งคลิปสั้นๆ ที่ลูกบอกรักและคิดถึงเขามาให้ โดยไม่มีภาพของเธอติดมาด้วยและไม่มีเสียงของเธอติดเล็ดลอดมาให้ได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว พอเขาส่งข้อความหาเธอก็ตอบกลับมาแค่ว่าวันนี้ทำงานเหนื่อยมากและหมดแรงคุยโทรศัพท์ คลิปที่น่าเอ็นดูของลูกอาจจะช่วยเยียวยาและทำให้ธีวริทธิ์ยิ้มแก้มปริด้วยหัวใจที่พองโต แต่ความสุขของเขาจะสมบูรณ์แบบได้จริงๆ ก็ต้องมีภรรยามาเติมเต็มด้วย
เมื่อคิดมากจนเกิดความวุ่นวายใจถึงขีดสุด ชายหนุ่มจึงตัดสินใจโทรศัพท์ถึงน้องชายตัวเองซึ่งเป็นศัลยแพทย์หัวหน้าศูนย์โรคหัวใจที่ปณาลีประจำอยู่ แต่พอฟังเขาปรับทุกข์ไม่กี่คำอีกฝ่ายก็บอกให้เขาทำใจให้สบาย และหาว่าเขากังวลจนเกินเหตุไปเอง เพราะปกติปณาลีก็เป็นของเธอแบบนี้อยู่แล้ว...
"นายก็พูดได้น่ะสิ คุณพิ้งค์เอาใจเก่งแล้วก็น่ารักจะตาย ห่างกันนิดหน่อยก็โทรหาตลอด ไม่เคยทิ้งให้นายต้องคิดมากจนน้อยใจเลยสักครั้ง แล้วตอนนี้ยังมีการเซ็กซ์โฟนกันอยู่ไหม" ธีวริทธิ์ถามด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้แกมอิจฉาอย่างปิดไม่มิด
"เฮ้ย!ไม่เคยนะครับ!"
"อ้าว จำได้ว่าเมื่อก่อนนายเคยเล่าให้พี่ฟังนี่นา"
"นั่นมันตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้วครับ ผมแค่เคยพยายามจะทำแบบนั้น... แต่พิ้งค์ยอมเสียที่ไหน งอนไปตั้งหลายวัน"
"แต่ยังไงพวกนายก็ยังน่าอิจฉาอยู่ดี..."
"พูดยังกับเปิ้ลไม่รักพี่ธี เขารักพี่ธีมากเลยนะครับ แต่การแสดงออกของคนเราไม่เหมือนกัน"
"พี่รู้... แล้วจริงๆ เขาก็แสดงออกมาให้พี่รับรู้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วล่ะ แต่อาจจะผิดที่พี่เองก็ได้ ที่ยิ่งเขาแสดงออกมามากเท่าไหร่พี่ก็ยิ่งต้องการมากขึ้นอีกเรื่อยๆ แล้วถึงจะมากแค่ไหนก็ไม่เคยพอ..."
"แต่ต่อให้รู้สึกว่าไม่พอยังไง พี่ธีก็อย่าเผลอไปรับหรือขอจากคนอื่นมาเติมเต็มละกันครับ ถ้าเปิ้ลรู้เข้าล่ะก็มีหวัง..."
"จะบ้าเหรอ ใครจะไปทำแบบนั้นกันล่ะ ถ้าพี่ยังรู้สึกอะไรกับคนอื่นนอกจากเขาได้ล่ะก็ เขาจะทำให้พี่เวิ่นเว้อได้ขนาดนี้มาเป็นสิบปีรึไง นี่นายอย่าเผลอไปพูดจาพล่อยๆ ทำนองนี้ให้เปิ้ลได้ยินเชียวนะ!"
อาการโวยวายอย่างตื่นตูมของพี่ชายทำให้ภีมากรหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะยอมรับปากอย่างแข็งขันแล้วขอตัววางสายไปดูคนไข้ พอโดนน้องชายทิ้งไปธีวริทธิ์จึงต้องโทรไปหาปณิธิแทน และพบว่าตอนนี้ปณิธิอยู่ที่ภูเก็ตเช่นกันเพราะมาประชุม
"งั้นดีเลย เดี๋ยวพี่ไปหาที่โรงแรม หมอสะดวกกินข้าวด้วยกันไหม"
"มีธุระด่วนอะไรรึเปล่าครับ"
"ก็ไม่เชิงหรอก พี่เพิ่งคุยธุระเสร็จและว่างพอดี"
เขาบอกไม่ถูกว่าทำไมต้องร้อนรนและเป็นกังวลกับสถานการณ์ตอนนี้นัก ทั้งที่เชื่อว่ามันไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่อีกใจกลับรู้สึกสังหรณ์แปลกๆ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้ปณาลีอ่อนหวานน่ารักกับเขามากจนทำให้เขามีความสุขล้นปรี่จนเคยตัวก็เป็นได้ พออารมณ์ขาดช่วงขึ้นมาอย่างกะทันหันเลยทำให้เกิดอาการเคว้งคว้างและกังวลจนเกินพอดี
"จริงๆ แล้วพี่รู้สึกว่าระหว่างพี่กับเปิ้ลมันเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติมาได้สักพักแล้วล่ะ"
มาถึงธีวริทธิ์ก็เปิดฉากอย่างไม่เสียเวลา เขามั่นใจว่าปณิธิเป็นคนหัวไวและเข้าใจง่ายไม่ว่าจะเรื่องอะไร
"แต่พออยู่ๆ เปิ้ลก็มาทำดีด้วยแถมยังน่ารักจนทำเอาพี่เคลิ้ม... มันก็เลยลืมเรื่องที่ตัวเองเอะใจตอนแรกไปเสียสนิท เอาเป็นว่า...หมอพอจะรู้ไหมว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับเปิ้ลรึเปล่า"
"เปล่านี่ครับ"
"นี่จะไม่เสียเวลาคิดคำตอบสักนิดเลยเหรอ ไม่เห็นต้องรีบร้อนขนาดนี้เลย"
ปณิธิฟังอีกฝ่ายสวนมาแล้วถึงกับหน้าเหวอเล็กน้อยและต้องกลั้นหัวเราะแทบตาย แม้ว่าแววกังวลในดวงตาของน้องเขยที่แก่กว่าเขาหลายปีจะทำให้รู้สึกเห็นใจจนอยากจะอธิบายเรื่องทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟังจนกระจ่างแจ้ง แต่ติดที่รับปากน้องสาวเอาไว้แล้วว่าจะไม่พูด เพราะเธออยากรอดูให้แน่ใจก่อนว่าธีวริทธิ์ไม่ได้เผลอมีใจให้ผู้หญิงคนอื่นจริงๆ
แต่ปณิธิก็อดขำไม่ได้ที่ทั้งธีวริทธิ์และปณาลีต่างก็เอาปัญหาดังกล่าวมาปรึกษาเขาแทนที่จะคุยกันเองให้จบๆ ไปอย่างง่ายดาย ทั้งที่พวกเขาก็มักจะพูดกันอยู่เสมอว่าเขาเป็นคนขี้แกล้งที่ไว้ใจไม่ได้... ทว่าบางครั้งความรักก็คงทำให้คนที่เข้มแข็งเกิดความอ่อนแอจนต้องหาเรื่องถ่วงเวลาและเอาแต่หลีกเลี่ยงการเผชิญความจริงไปเรื่อยๆ
"เปิ้ลเขาก็...ดูปกติดีทุกอย่างนี่ครับ วันนี้ผมก็เพิ่งคุยด้วย พอดีเมื่อเช้าโทรหาภีมเพราะหมอนั่นไม่ยอมมาประชุมที่นี่ด้วย ก็เลยได้คุยกับเปิ้ลนิดหน่อย"
"อะไรกัน พี่โทรหาเขาไม่เห็นรับสายเลย"
"จังหวะไม่ดีมังครับ ผมโทรไปตอนเขาเสร็จเคสกันแล้วและกินข้าวกันอยู่ ยังคุยกันเรื่องยายหนูอยู่ตังนาน"
ธีวริทธิ์นิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"ตอนแรกผมนึกว่าวันนี้เปิ้ลจะมาประชุมด้วยเสียอีก แถมพี่ธีเองก็มาธุระที่นี่พอดี เขาน่าจะพาลูกมาด้วย พี่ธีไม่ได้ชวนหรือครับ"
"ไม่ได้ชวน เพราะพี่ไม่รู้เรื่องประชุมอะไรนี่เลย แล้วก็คิดว่าเปิ้ลคงไม่ว่าง"
"แต่จริงๆ ถึงชวนเขาก็คงไม่มาหรอกครับ เพราะเมื่อวานกับวันนี้มีหมอมือหนึ่งจากญี่ปุ่นไปช่วยเคสของภีม เปิ้ลเค้าปลื้มโปรเฟสเซอร์นากาฮาชิมาก ยังไงก็คงต้องอยู่เข้าเคสด้วย"
"คนที่เปิ้ลปลื้มงั้นเหรอ เขาเป็นใคร..."
"เป็นหมอผ่าตัดหัวใจมือหนึ่งของโลกเลยนะครับ เปิ้ลเคยบอกว่าเขาอยากไปเทรนกับทีมของโปรเฟสเซอร์นากาฮาชิ ผมเองก็มีแผนจะไปเรียนต่อในเซ็นเตอร์ของเขาที่ญี่ปุ่นเหมือนกัน"
"ไม่เห็นเคยได้ยินเปิ้ลพูดถึงเลย"
"อ้าว จริงเหรอครับ... เขาอาจจะคิดว่าพี่ธีคงไม่สนใจ"
"มีเรื่องเกี่ยวกับเปิ้ลที่พี่เคยไม่สนใจด้วยเหรอ พี่สนทุกเรื่องนะ"
"นั่นสินะครับ" ปณิธิพูดพลางหัวเราะ "แต่เขาอาจจะไม่ได้คิดจะไปจริงๆ ก็ได้ เพราะถ้าไปก็คงต้องบอกพี่ธีล่วงหน้าเป็นปี ไหนจะยายหนูอีก เขาคงไม่ทิ้งลูกเล็กๆ กับสามีไปอยู่ต่างประเทศเป็นปี..."
"..."
"พี่ธีอย่าเพิ่งคิดมากจนเครียดเลยครับ ผมว่าเปิ้ลคงยังไม่คิดจะไปเร็วๆ นี้หรอก ได้ยินภีมบอกว่าโปรเฟสเซอร์นากาฮาชิออกปากชวนเหมือนกัน แต่เปิ้ลก็ยังไม่ได้ให้คำตอบว่าไง"
"แล้วทำไมเปิ้ลต้องปลื้มเขาด้วย"
"อ้าว ก็เพราะเขาเก่งไงครับ" ปณิธิตอบเสียงกลั้วหัวเราะเหมือนมิได้รับรู้ถึงอารมณ์ขัดเคืองหรือความกังวลใจของอีกฝ่ายเลย "ที่สำคัญฮาร์ตเซ็นเตอร์ของโปรเฟสเซอร์นากาฮาชิเป็นทีมผ่าตัดหัวใจที่มีรีซัลต์ดีที่สุดในโลกตอนนี้เลยนะครับ แต่ว่าถึงเขาจะหล่อและยังไม่ได้แต่งงานเปิ้ลก็คงไม่ได้ชอบเขาเพราะเหตุผลพวกนั้น น่าจะชอบเพราะเขาเก่งนี่แหละ ผมได้ยินมาว่าเห็นเขาเหมือนจะเป็นคนนิ่งๆ ขรึมๆ แต่จริงๆ โปรเฟสเซอร์แกเจ้าชู้มาก เปิ้ลมันเกลียดผู้ชายเจ้าชู้จะตาย"
"..."
"แต่แบบเปิ้ลนี่สเป็กเขาเลยนะครับ เพราะมีคนบอกว่าผู้หญิงที่เขาคบส่วนใหญ่จะพิมพ์เดียวกับเปิ้ลนี่แหละ แต่เขาคงไม่สนเพราะเปิ้ลแต่งงานแล้ว"
"เขารู้ใช่ไหมว่าเปิ้ลแต่งงานแล้ว"
"เอ่อ...อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ เพราะปกติเวลาไปทำงานเปิ้ลมันก็ไม่ได้ใส่แหวนด้วย แล้วเวลาคุยกันก็จะไม่คุยเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่"
พอพูดออกไปหมดแล้วได้เห็นปฏิกิริยาของธีวริทธิ์ ปณิธิก็เริ่มเป็นห่วงและบอกว่าตัวเองควรจะหยุดมาตรการปั่นประสาทน้องเขยได้แล้ว จึงรีบชวนคุยเรื่องอื่นที่ช่วยให้อีกฝ่ายผ่อนคลายแทน
แต่ก็เหมือนโชคชะตาต้องการจะตอกย้ำซ้ำเติมความกังวลของธีวริทธิ์ให้ยิ่งรุนแรงขึ้น คืนนั้นเขาจึงมีโอกาสได้พบกับโปรเฟสเซอร์นากาฮิชิที่บาร์ของโรงแรม ทำให้ได้รู้จักและคุยกันอยู่เล็กน้อย ทว่าแม้จะได้สนทนากันเพียงไม่กี่นาที ธีวริทธิ์ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงเสน่ห์อันลุ่มลึกของอีกฝ่าย เขาพยายามจะไม่คิดมากและไม่คิดแทนผู้หญิง...โดยเฉพาะภรรยาตัวเอง ว่าจะรู้สึกอย่างไรเวลาได้ใกล้ชิดกับผู้ชายคนนี้
คืนนั้นพอกลับที่พักไปแล้วเขาต้องข่มใจอย่างมากที่จะไม่ติดต่อถึงปณาลีด้วยความร้อนใจอย่างตีตนไปก่อนไข้ เพราะว่ามันดึกมากแล้ว แต่เช้าวันต่อมาสีหน้าของเขาคงแย่มากจนผิดสังเกต นิศามนจึงออกปากทักทันทีที่เจอกัน
"คุณธีกังวลเรื่องข้อเสนอจากทางจีนรึเปล่าคะ จะให้มนโทรหาคุณแพตตอนนี้เลยไหม เผื่อจะให้คุณแพตตามมาคุยด้วยวันนี้..."
"ไม่ต้อง ไม่ใช่เรื่องนั้น"
นิศามนพยักหน้าเป็นเชิงรับทราบ แต่ก็ยังอดมองเขาด้วยความสงสัยไม่ได้อยู่ดี
"ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป...ผมขอให้คุณช่วยอะไรอย่างได้ไหม"
"ได้สิคะ บอกมาเลยค่ะ ถ้าช่วยได้มนจะช่วยทันที"
"ผมติดต่อภรรยาไม่ได้มาสองวันแล้ว แต่วันนี้ผมไม่อยากกังวลกับการพยายามติดต่อหาเธออีก เพราะวันนี้คุยกับเอเจนต์จากจีนเสร็จผมมีนัดงานอื่นต่อที่อีกโรงแรมหนึ่ง ดังนั้นคุณช่วยติดต่อภรรยาผมให้ทีได้ไหม"
อาจเป็นเพราะธีวริทธิ์ไม่เคยมีปัญหากับภรรยาอย่างจริงจังมาก่อนเลยก็เป็นได้นับตั้งแต่แต่งงานกันมา ลางสังหรณ์ที่เกิดจากท่าทีอันน่าสงสัยเล็กๆ น้อยๆ ของภรรยาในคราวนี้จึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก แม้จะพยายามย้ำกับตัวเองซ้ำๆ ว่าไม่ควรคิดมากจนเกิดเหตุ แต่ความกังวลอันน่าประหลาดก็ตามก่อกวนความรู้สึกตลอดเวลาจนจิตใจไม่สงบสุข
"พยายามโทรหาเธอให้ผมหน่อย อาจจะติดต่อยากสักหน่อยเพราะเวลาทำงานเธอจะไม่รับโทรศัพท์ คุณต้องกะเวลาโทรไปเรื่อยๆ จนกว่าเธอจะรับสายและมีเวลาคุยด้วย เดี๋ยวผมจะเขียนรายละเอียดที่ผมต้องการให้คุณบอกกับเธอให้"
คนฟังกะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง หากก็รีบพยักหน้ารับคำอย่างไม่อิดออด...

No comments:

Post a Comment