Friday, May 17, 2019

บทที่ 2 รู้สึกเหมือนได้อยู่บนสวรรค์

แม้ว่าการปรนเปรอเอาใจอย่างอ่อนหวานน่ารักของภรรยาในครั้งนี้จะทำให้รู้สึกดีเพียงใด แต่ธีวริทธิ์ก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า...อันที่จริงแล้วอะไรกันแน่คือสาเหตุสำคัญของความใจดีราวกับนางฟ้าจากสรวงสวรรค์ และความใจกว้างดังมหาสมุทรแปซิฟิคของเธอ...
"ช่วยจูบผมอีกทีได้ไหม..." คำขอของเขาแตกพร่าทว่านุ่มนวลดุจกำมะหยี่ ดวงตาคมฉ่ำเชื่อมที่มองเธออย่างออดอ้อนด้วยอารมณ์ลึกซึ้งยังคงคุกรุ่นไปด้วยแรงพิศวาสอันล้นปรี่ อาจจะเรียกได้ว่าเธอทำให้เขาย่ามใจก็เป็นได้ ตอนนี้ธีวริทธิ์จึงอยากจะผลักดันให้อารมณ์เธอเตลิดไปไกลยิ่งกว่าที่เธอตั้งใจไว้ ในขณะที่ตัวเขาเองก็ไม่คิดจะยอมหยุดตัวเองง่ายๆ
"จูบอีกล้านทีก็ได้..."
"นี่ผมยังมีชีวิตอยู่ไหม... หรือว่าจริงๆ ผมตายไปแล้ว"
"ทำไมถามแบบนั้น"
"ก็นี่มันยิ่งกว่าเหมือนอยู่บนสวรรค์เสียอีก อยู่ๆ คุณก็น่ารักขึ้นมาขนาดนี้จนตั้งรับไม่ทัน คุณตามใจผม คุณทำทุกอย่างที่ผมเคยขอแต่คุณปฏิเสธ..." เขากระซิบบอกแล้วจูบเธอเบาๆ กลีบปากอิ่มของเธอตอนนี้ดูเหมือนจะช้ำระบมขึ้นเล็กน้อยเพราะต้องรับมือกับจุมพิตอันดูดดื่มนับครั้งไม่ถ้วนจากเขา รวมถึงการที่เธอใช้ริมฝีปากสัมผัสไปทั่วร่างเขาด้วย...
"ปกติฉันไม่น่ารักเลยสินะคะ"
น้ำเสียงบวกกับสีหน้าแง่งอนนิดๆ ของเธอทำให้เขาเผลอยิ้ม "ไม่... คุณเป็นคุณที่น่ารักที่สุดสำหรับผมเสมอ วันนี้คุณแค่ทำให้ผมประหลาดใจ แต่คุณคงรู้ว่าตัวเองสำคัญกับผมแค่ไหน..."
เธอมองตาเขาอย่างค้นคว้า ก่อนจะอุทานเบาๆ ด้วยความตกใจเมื่ออีกฝ่ายจับเธอพลิกตัวให้ขึ้นมาทาบทับบนร่างแข็งแกร่งของเขาอย่างไม่ให้ทันได้ตั้งตัว ให้เธอได้สัมผัสและรับรู้ถึงแรงปรารถนาที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงง่ายๆ ของเขาอย่างชัดเจนจนน่าตระหนก ถ้าหากอยู่ในช่วงเวลาปกติเหมือนที่เคยเป็นมา ตอนนี้ปณาลีอาจจะขืนตัวออกห่างพร้อมกับขอร้องให้เขาพักก่อนสำหรับคืนนี้ แต่ในเมื่อเธอเป็นคนปลุกเร้าจนอีกฝ่ายเตลิดไปไกลอย่างเห็นได้ชัดและคงจะหยุดตัวเองไม่ได้ง่ายๆ เธอจึงไม่คิดจะห้ามปรามการเอาแต่ใจอย่างรั้งตัวเองไม่อยู่ของเขาแม้แต่น้อย...
"ว่าไงครับ คุณรู้ไหม..."
ปณาลีพยักหน้าตอบเบาๆ รับรู้ได้อย่างชัดเจนจากแววตาของอีกฝ่ายว่าคืนนี้เขาคงไม่ปล่อยให้เธอได้พักง่ายๆ แต่ในเมื่อเธอเป็นคนเริ่มเรื่องนี้เอง เธอก็จะไม่ผลักไสหรือหนีไปจากอ้อมกอดของเขาอย่างไร้ความรับผิดชอบ แม้ว่าจริงๆ ก็อดกระอักกระอ่วนอยู่ลึกๆ ไม่ได้ที่รู้สึกว่าตนถึงกับยอมทิ้งความหยิ่งทะนงทั้งหมดเพื่อพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้เขาเปลี่ยนใจไปหาคนอื่น...จนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่เธอก็ตัดสินใจปัดความคิดดังกล่าวทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เพราะเหนือสิ่งอื่นใดคือเธอตระหนักชัดแล้วว่าตัวเองรักและหวงแหนเขาเกินกว่าจะยอมสูญเสียไปได้ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดก็ตาม...
"แล้วคุณรู้ไหมคะ ว่าคุณสำคัญสำหรับฉันมากแค่ไหน"
คำถามนั้นทำให้ดวงตาคมกริบที่มองสบเธอไหวระริกด้วยความคาดหวังทันทีขณะเขาส่ายหน้าตอบเบาๆ "ไม่... ผมไม่รู้เลย..." ปลายประโยคนั้นน้ำเสียงเขาแตกพร่าและขาดห้วงเล็กน้อยเมื่อเธอขยับตัวอย่างเชื่องช้าเพื่อทำการครอบครองเขาอย่างนุ่มนวล ชายหนุ่มสูดหายใจลึกพร้อมกับเคลื่อนไหวร่างกายให้สอดคล้องกับจังหวะอันเร่าร้อนทว่าเต็มไปด้วยความอ่อนหวานน่ารักของคนตัวเล็กที่ตอนนี้กุมอำนาจอยู่เหนือเขาทุกอย่าง
"สำหรับฉันคุณสำคัญที่สุด..."
"เปิ้ล..."
"ขา..."
"คุณน่ารักเกินไปแล้ว คุณกำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย..."
"เว่อร์มาก" เธอโน้มลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากได้รูป รับรู้ถึงลมหายใจร้อนระอุของเขาอย่างชัดเจน
"จริงๆ นะเปิ้ล คุณน่ารักมาก ผมรักคุณนะ..."
"รู้แล้วค่ะ..."
"คุณอยากได้อะไรผมจะให้ทุกอย่าง ลองขอมาสิ ขอผมเถอะ ได้โปรด..."
"แค่รักฉันก็พอ"
"ผมรักคุณที่สุด"
"รักแค่คนเดียวด้วยนะคะ รักแค่ฉัน..."
"แค่คุณคนเดียวเท่านั้น..." ธีวริทธิ์มองตาเธอพร้อมกับบอกตัวเองว่า เขาน่าจะไม่เคยรู้สึกอยากเป็นคนว่านอนสอนง่ายและยินยอมพร้อมทำทุกอย่างตามคำสั่งใครสักคนมากมายขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต
"คุณห้ามมองใครนะคะ ห้ามไปรักใครอีก อย่าทำให้ฉันเสียใจ..."
"ผมเป็นของคุณคนเดียว... จะเป็นของคุณแค่คนเดียวตลอดไป..."

ธีวริทธิ์กลั้นยิ้มขณะมองสีหน้าเรียบเฉยของภรรยาที่โต๊ะอาหาร เธอเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาป้อนข้าวเช้าให้ลูกสาววัยสองขวบและคุยเจื้อยแจ้วกับแกโดยไม่สนใจเขา เสมือนกับว่าไม่มีเขาอยู่ตรงนั้นด้วย แต่เกือบครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาแก้มเธอแดงระเรื่อ ทั้งยังพยายามหลบตาเขาเป็นพัลวัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานกี่ปี...เธอก็ไม่เคยเก็บซ่อนอาการเขินอายอย่างไร้เดียงสาในสถานการณ์เช่นนี้จากสายตาเขาได้
"วันนี้ผมไม่อยากไปทำงาน ไม่มีแรงเลย..." ชายหนุ่มพูดขึ้นมาทันทีที่พี่เลี้ยงพาลูกสาวของเขาออกจากห้องเพื่อไปเดินเล่นในสวนซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางบนชั้นดาดฟ้าของคอนโดมิเนียม
"ถ้าไม่มีงานสำคัญอะไรคุณก็นอนอยู่บ้านสิคะ"
"มีงานสำคัญตั้งแต่เช้ายันเย็นเลยล่ะ แต่ก็ไม่อยากไปอยู่ดี ไม่มีแรง..."
"งั้นก็กินเยอะๆ สิจะได้มีแรง"
"ถึงกินเยอะจนกลับมามีแรง วันนี้ก็ไม่อยากไปไหนอยู่ดี อยากอยู่บ้าน...กับคุณ"
"แล้วนี่เป็นอะไรคะ งอแงเป็นเด็กๆ เลย อย่าไปทำท่าทางแบบนี้ให้ใครเห็นเชียวนะคะ โดนล้อตายแน่" เธอยังเฉไฉทำตาดุใส่เขา แต่สองแก้มยังคงแดงก่ำไม่จาง
"ไม่เห็นถามเลย ว่าทำไมไม่มีแรง"
"ไม่อยากรู้!"
คนโดนแหวหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ "ผมอาจจะไม่มีแรงไปทำงาน แต่ยังมีแรงทำอย่างอื่นได้สบายเลยนะ จริงๆ แล้วก็คือ...ผมอยากทำแบบเมื่อคืนกับคุณอีก ได้ไหม..."
คำพูดหน้าตาเฉยอย่างหน้าไม่อายของเขาทำเอาคนฟังตาโตตัวแข็งทื่อไปเลย
"เปิ้ล..."
"คุณอย่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนแบบนั้นอีกนะ!"
"ทำไมล่ะ ก็เมื่อคืนคุณทำให้ผมมีความสุขมาก จนตอนนี้ก็ยังอินไม่หายเลยอยากพูดถึง คุณน่าจะเข้าใจความรู้สึกผมนะเปิ้ล วันนี้ผมคงอยากพูดถึงเรื่องของเราตลอดเวลา และอยากให้คุณทำแบบนั้นอีกหลายๆ ครั้ง..."
"คุณธี!"
"ครับ..."
"เลิกทำตาแบบนั้นได้แล้วค่ะ ไม่งั้น..."
"ไม่งั้นคุณจะทำอะไร ผมยอมให้คุณทำได้เลยทุกอย่าง ทำที่นี่...ตรงนี้เลยก็ได้ จริงๆ นะเปิ้ล เพราะอันที่จริงเราก็ยังพอมีเวลา..."
"โอ๊ยยย หยุดเลยนะ!"
"ร้องเสียงแบบนั้นทำไม ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย แต่ว่าผมอยากทำจริงๆ นะ ในหัวคิดถึงแต่เรื่องเมื่อคืนจนไม่รู้เลยว่าวันนี้จะเอาสมาธิที่ไหนมาทำงาน คุณน่าจะทำให้ผมสติแตกไปแล้วล่ะที่รัก"
"แต่ถึงสติจะแตกยังไง...คุณก็ช่วยหยุดพูดเรื่องนี้ทีเถอะ นี่ฉันอายจะตายอยู่แล้วรู้ไหม เรื่องเมื่อคืนนี้น่ะนะ...ต้องมีผีอะไรมาเข้าสิงฉันแน่ๆ!"
"อย่าโทษผี"
"ก็แล้วจะให้โทษอะไรล่ะ"
"ก็นั่นน่ะสิ ผมเองก็ยังสงสัยอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณ..."
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ น่าจะผีเข้านั่นแหละ"
"งั้น...แล้วตอนนี้ผีออกไปยัง ถ้ายัง...ผมจะโทรยกเลิกนัดเช้านี้แล้วอยู่กับคุณทั้งวันให้คุ้ม จนกว่าผีตัวนั้นจะออกจากร่างคุณเลย ผมอยาก..."
"..."
"ที่รัก ได้โปรดอย่ามองแบบนั้น คุณเป็นคนทำให้ผมเสียอาการจนกลายเป็นแบบนี้เองแท้ๆ ดังนั้นคุณต้องรับผิดชอบนะรู้ไหม เมื่อคืนผมไม่รู้ว่าคุณไปโดนอะไรมา แต่คุณทำตัวน่ารักกับผมอย่างเหลือเชื่อ และผมชอบที่คุณเป็นแบบนั้นจริงๆ ชอบมากๆ"
"เลิกย้ำซะทีได้ไหม!"
"ไม่ ผมคงเลิกคิดถึงมันไม่ได้จนกว่าคุณจะทำแบบนั้นกับผมอีกครั้งเพื่อเป็นการยืนยันว่าเมื่อคืนผมไม่ได้ฝันไป งั้นเอาเป็นว่าวันนี้ผมจะรีบเคลียร์งานแล้วรีบกลับบ้าน คุณเองต้องรีบกลับเหมือนกันนะเปิ้ล อย่าปล่อยให้ผมรอเก้อ นะครับ..."
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงและแววตาของเขาจะทำให้อ่อนไหวอย่างรุนแรงสักปานใด แต่ปณาลีก็ต้องพยายามปั้นหน้าดุทำตาขวางนิดๆ ใส่คนสติหลุดตรงหน้าด้วยท่าทางจริงจังขึ้น แล้วจึงเอ่ยปากออกไป "สรุปว่าคุณอยากให้ฉันทำแบบเมื่อคืนทุกวันเลยงั้นหรือคะ อยากให้ฉันเป็นแบบนั้นกับคุณทุกวัน?"
"อยาก... แต่ผมไม่ได้บังคับนะ" เขายอมรับเสียงอ่อน แต่ยังคงส่งประกายตาหวานเชื่อมข้ามโต๊ะมาออดอ้อนเธออย่างไม่ลดละ
"แล้วถ้าฉันไม่ยอมตามใจอีก...คุณจะเลิกรักไหม"
"ว่าไงนะ ผมเนี่ยเหรอที่จะเลิกรักคุณได้ด้วย?"
"ก็ถ้าฉันไม่ยอมตามใจคุณแบบเมื่อคืนอีก คุณจะไปอ้อนให้คนอื่นมาตามใจคุณแทนรึเปล่าล่ะ"
ชายหนุ่มนิ่วหน้าเล็กน้อย เริ่มเอะใจแปลกๆ กับคำพูดที่เอ่ยถึง 'คนอื่น'ของเธอ
"ถ้ามีคนที่เขาสวยกว่าฉัน ดีกว่า น่ารักกว่าฉัน... อือ...ไม่สิ...เอาเป็นว่า...ถ้าเป็นคนที่มีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกับฉัน แต่เขาเด็กกว่าเยอะมาก แล้วก็เป็นคนน่ารักที่จะยอมตามใจคุณทุกอย่าง คุณจะชอบเขาแล้วลืมฉันไปเลยรึเปล่า"
"..."
"คุณธี?"
"นี่ผมหูฝาดไปรึเปล่า ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้ยินคำถามทำนองนี้จากปากคุณ"
"..."
"นี่ระแวงอะไรผมอยู่ไหมเนี่ยถามจริง"
"..."
"เปิ้ล?"
"เปล่าหรอกค่ะ แค่ถามไปงั้นเอง" หญิงสาวไหวไหล่เบาๆ แล้วเสจิบกาแฟ "บางที...อาจจะเป็นแค่อาการอ่อนไหวในช่วง PMSเท่านั้นแหละ คุณอย่าสนใจเลยนะคะ"
"งั้นก็ห้ามระแวงผมจริงๆ นะ เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย และไม่มีทางจะทำด้วย"
"แน่ใจนะ..."
"แน่สิ!"
"งั้นก็...ดีแล้วล่ะค่ะ" เธอตัดสินใจยิ้มหวานพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้น "ฉันต้องรีบไปแล้ว"
"เดี๋ยวผมไปส่งนะ"
"ไม่ต้องค่ะ ไม่ทันแล้วล่ะ ไปรถไฟฟ้าดีกว่า" เธอบอกพร้อมกับเดินไปหอมแก้มเขาหนึ่งที "รักคุณนะ"

แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นธีวริทธิ์ก็หาโอกาสส่งข้อความและโทรถึงเธอเกือบทั้งวัน เพราะเขาไม่สามารถสลัดเหตุการณ์ในคืนที่ผ่านมาออกไปจากความคิดได้จริงๆ และชายหนุ่มจำเป็นต้องระบายความรู้สึกอัดอั้นทั้งหมดผ่านบทสนทนากับคู่กรณีซึ่งก็คือภรรยาของเขาเท่านั้น
"ไหนบอกว่าวันนี้คุณยุ่งทั้งวัน" เธอเอ่ยถามเมื่อโทรกลับหาเขาเป็นครั้งที่สามหลังจากไม่ทันรับสายล่าสุดที่อีกฝ่ายโทรเข้ามา
"วันนี้ผมงานยุ่งมาก แต่ที่วอแวไม่เลิกเป็นเพราะกังวลว่าจริงๆ แล้วเมื่อคืนนี้ตัวเองแค่ฝันไปเท่านั้น..."
"คุณแค่ฝันไปจริงๆ ค่ะ เพราะความจริงแล้วเมื่อคืนไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลย"
"..."
"ได้ยินแบบนี้แล้วสบายใจขึ้นยังคะที่รัก"
"ใจร้ายชะมัด"
สุ้มเสียงบ่นพึมพำอย่างขุ่นเคืองของเขาฟังแล้วน่ารักน่าเอ็นดูจนปณาลีต้องรีบกลั้นขำ ตั้งแต่มีลูกสาวคนหนึ่ง...เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้ลูกชายเพิ่มมาด้วยอีกคน เพราะบางครั้งเขาก็ชอบทำตัวงอแงเป็นเด็กๆ แข่งกับลูก ราวกับกลัวว่าเธอจะรักและเอ็นดูลูกจนลืมเขา
"ก็ดูเหมือนว่าเรื่องนั้นมันจะกลายเป็นปัญหาสำหรับคุณมากกว่าจะทำให้มีความสุขนี่นา งั้นเราก็ควรคิดซะว่าเมื่อคืนแค่ฝันไป..."
"คุณเสร็จงานรึยัง" เขารีบถามแทรกโดยไม่ยอมฟังเธอพูดให้จบ "ผมจะแวะไปรับตอนนี้เลย"
"..."
"ผมจะออกไปรับเลยนะ"
"มารับตอนนี้เนี่ยนะ มารับทำไมคะ"
"ก็ผมคิดถึง ผมไม่มีสมาธิทำอะไรเลย..."
คนฟังถึงกับอึ้งงันไป
"ให้ผมไปรับนะเปิ้ล นะครับ..."
"อย่ามาทำเสียงออดอ้อนแบบนี้นะ แล้วนั่นมีใครอยู่ใกล้ๆ จนได้ยินเข้ารึเปล่าน่ะ" เธอได้ยินเสียงปลายสายหัวเราะตอบกลับมาโดยไม่พูดอะไร "แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งมารับนะคะ ฉันยังกลับไม่ได้จริงๆ เดี๋ยวเสร็จงานแล้วจะกลับเอง คุณใจเย็นไว้นะ"
"งั้นคุณช่วยบอกรักผมด้วยเสียงแบบที่เราคุยกันเมื่อคืนหน่อยสิ บอกมาตอนนี้เลย นะที่รัก พอฟังแล้วผมจะรีบกลับเข้าห้องประชุมและตั้งใจทำงานโดยไม่กวนคุณอีกจนกว่าเราจะกลับไปเจอกันที่บ้าน นะครับ..."
"สรุปว่านี่ฉันคิดถูกรึเปล่านะที่เมื่อคืนทำแบบนั้นกับคุณ..."
"ถูกสิ ถูกชัวร์ล้านเปอร์เซ็นต์ และเราจะทำอีก..."
"แต่ว่ามันทำให้คุณเพ้อมากกก เพ้อแบบเวิ่นเว้อสุดๆ ไปเลยด้วย"
น้ำเสียงที่เหมือนจะทั้งมึนทั้งสับสนของเธอทำให้คนที่เอาแต่ละเมอเพ้อพกไม่หยุด ถึงกับหลุดขำออกมาเบาๆ "ก็ไม่ขนาดนั้นซะหน่อย"
"ไม่ขนาดนั้นอะไรล่ะคะ คุณเพ้อหนักมากเลยนะ นี่ไม่รู้ตัวจริงๆ เหรอ"
"อย่าบอกนะว่า คุณทำกับผมแบบนั้นโดยที่ไม่รู้ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง?"
"จริงๆ ก็คิดอยู่นิดหนึ่งนะคะว่าคุณคงชอบ... แต่ก็ไม่นึกว่าจะอาการหนักขนาดนี้..."
"งั้นคุณก็อย่าเอาไปบอกใครนะ ผมเขิน"
คนฟังถึงกับเผลอตัวค้อนลมฟ้าอากาศไปขวับหนึ่ง "คุณนั่นแหละ ห้ามเอาเรื่องของเราไปพูดให้ใครฟังเด็ดขาดเลยนะคะ อย่าหลุดปากบอกให้ปั๊บได้ยินเชียว ถ้าคุณทำให้ฉันโดนหมอนั่นล้อล่ะก็ ฉันจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาดแล้วกลั้นใจตายไปเลย!"
"ผมจะพยายาม" เขาพูดพลางกลั้นยิ้ม
"ไม่ใช่แค่พยายามค่ะ คุณต้องไม่เผลอปริปากเด็ดขาด!"
"แต่ใครๆ ก็ชอบคิดว่าคุณเย็นชา ไม่ค่อยสนใจผม เวลาเรามีโมเม้นต์ดีๆ แบบนี้บางทีผมก็เลยอยากอวดบ้างนี่นา คุณเข้าใจใช่ไหม"
"เข้าใจค่าาา... และคุณจะอวดอะไรก็ได้นะ แต่ต้องไม่ใช่เรื่องเมื่อคืน" หญิงสาวพยายามเค้นเสียงเตือนสติเขาอย่างจริงจัง เริ่มหลอนว่าเรื่องนี้อาจจะหลุดไปถึงหูใครสักคนในครอบครัวเธอในไม่ช้า "ครั้งนี้คุณต้องข่มใจเอาไว้ให้ได้นะคะ แล้วฉันจะพยายามไม่เย็นชาหรือใจร้ายกับคุณอีก นะคะคุณธี..."
"..."
"ฉันรับรองว่าต่อไปจะสร้างโมเม้นต์ที่ดีน่ารักน่าจดจำระหว่างเราให้คุณเอาไปอวดได้อีกเยอะๆ แต่คุณต้องไม่อวดเรื่องที่ฉันทำไปเมื่อคืนนี้เด็ดขาด เข้าใจไหมคะ"
"ก็ได้ครับ... แต่ก่อนอื่นคุณต้องสัญญามาก่อนว่าวันนี้จะรีบกลับ ส่วนผมจะกลับไปรออยู่กับลูกที่บ้านตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน"

"สรุปว่าเรื่องที่คุณธีจะไปภูเก็ตกับยายเด็กนั่น คุณหมอแกว่าไงบ้างคะพี่รุ้ง"
คำถามอย่างกระตือรือร้นจากเจนจิราทำให้พราวรุ้งฟังแล้วต้องกลอกตาพลางถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย เจนจิราแวะมาที่บ้านเธอในช่วงบ่ายวันหยุดพร้อมกับขนมที่แม่หล่อนมักจะทำมาฝากเสมอเหมือนเช่นเคย ทั้งคู่จึงนั่งทานและเม้าท์มอยกันเรื่อยเปื่อยในยามว่างตามประสาสาวโสด จนกระทั่งหัวข้อสนทนาวนมาที่เรื่องของปณาลีกับธีวริทธิ์
"ก็บอกว่านางไว้ใจคนของนาง และจะไม่ก้าวก่ายงานของเขาน่ะสิ"
"อะไรกันเนี่ย ทำไมคุณหมอใจเย็นได้ขนาดนี้ล่ะคะ"
"ก็คุณธีเขาไม่เคยนอกลู่นอกทางมาก่อน หมอเปิ้ลนางเลยไว้ใจสามีมาก"
"แต่พักนี้คุณธีดูแปลกๆ อยู่นะคะ เจนเชื่อว่าเจนไม่ได้คิดไปเองแน่นอน ท่าทางคุณธีเหมือนผู้ชายที่กำลังอินเลิฟหนักมากกก!"
"อินเลิฟ?"
"ใช่ค่ะ ก็เจนเห็นพักนี้เขาชอบคุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางมุมิงุ้งงิ้งเหมือนคนที่กำลังมีความรักกับแฟนข้าวใหม่ปลามัน"
"เขาก็คงคุยกับเมียเขานั่นล่ะ เพราะจริงๆ คุณธีเขาหลงยายเปิ้ลจะตายไป จะว่าไปแล้ว...ฉันเองก็เข้าใจยายเปิ้ลนะที่นางไม่คิดจะระแวงสามีเกี่ยวกับเรื่องนี้"
"แต่มันไม่เหมือนกันหรอกนะคะการคุยกับกิ๊กและเมียเนี่ย ผู้ชายที่แต่งงานอยู่กินกับเมียมาแล้วตั้งหลายปี...ต่อให้รักให้หลงเมียขนาดไหนก็คงไม่คุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางสวีตหวานเบอร์นั้นแบบคุณธีตอนนี้หรอกค่ะ บางทีเจนยังแอบเห็นเขานั่งทำตาหวานกับมือถือทั้งวัน อารมณ์ดีผิดปกติมากๆ รับรองว่าต้องไม่ใช่อาการของคนที่กำลังแชตหรือคุยโทรศัพท์กับเมียที่บ้านแน่ เพราะกับเมียที่แต่งงานกันมาห้าหกปีแล้วแถมยังมีลูกด้วยกันคนหนึ่ง...ไม่มีทางที่ผู้ชายจะทำท่าอินจัดแบบนั้นตอนคุยโทรศัพท์ด้วย"
พราวรุ้งทำหน้านิ่วอย่างชักจะเริ่มคล้อยตามการสันนิษฐานของอีกฝ่ายนิดๆ
"แล้วพี่รุ้งดูนี่สิคะ"
พราวรุ้งชะโงกไปมองที่จอมือถือของเจนจิรา จึงเห็นว่าภาพถ่ายที่อีกฝ่ายเปิดให้ดูเป็นภาพของธีวริทธิ์กับนิศามนที่กำลังยืนอยู่ด้วยกันบริเวณหัวโต๊ะภายในห้องประชุมแห่งหนึ่ง
"เวลาคุยกับยายเด็กนั่น คุณธีเขาทำตาหวานเบอร์นี้มองหล่อนด้วยนะคะ เจนเห็นแบบนี้แล้วมันคิดดีด้วยไม่ได้เลย"
"ตายแล้ว..."
"พี่รุ้งก็คิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะคะ แล้วทุกครั้งเวลาที่คุณธีมีสัมภาษณ์หรือมีกล้องมาถ่าย แม่คนนี้ก็เป็นต้องหาเรื่องมีซีนตลอด ถ้าไม่รีบมายืนข้างๆ เขาก็มีอันต้องหาทางวิ่งตัดหน้าตัดหลังกล้องเพื่อพาตัวเองไปอยู่ในเฟรมด้วยให้ได้ ไว้เจนจะไปหารูปทั้งหมดมาส่งให้ดู แล้วพี่ก็ช่วยเอาไปให้หมอเปิ้ลดูด้วยนะคะ ถ้าเห็นอย่างนั้นแล้วยังคิดจะมองหล่อนในแง่ดีได้อยู่ล่ะก็...เจนคงไม่รู้จะพูดอะไรอีก"
แต่ปรากฏว่า เมื่อพราวรุ้งเอาเรื่องทั้งหมดพร้อมกับภาพหลักฐานต่างๆ ที่ได้จากเจนจิราไปบอกต่อแก่ปณาลี เธอก็ต้องขัดใจอย่างหนักจนได้ เพราะอีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะยอมกังวลใจกับสิ่งเหล่านี้ไปด้วยเลย
"เขาแค่ทำงานด้วยกัน ไม่ได้มีอะไรกันหรอกน่า อย่าคิดมากเลยรุ้ง"
"เพื่อนคะ ทำไมเพื่อนใจเย็นขนาดนี้ จริงๆ แล้วคำพูดแบบนี้มันน่าจะเป็นคำพูดที่ฉันใช้ปลอบใจเธอมากกว่านะ แต่ดันกลายเป็นเธอต้องมาบอกฉันให้ใจเย็นเนี่ยนะ!"
"ก็เธอคิดมากเกินไปจริงๆ นี่นา เด็กคนนั้นเขาไม่เห็นมีอะไรน่าสงสัยเลย เขาก็มาทำงานตามทำหน้าที่เขาปกติ ถ้าคุณธีจะชอบเขา ก็คงชอบที่เขาทำงานดีเท่านั้นเอง"
"แล้วเธอไม่เห็นรูปที่ฉันส่งให้รึไง ยายนั่นทำตัวใกล้ชิดเกินเหตุมาก เอาแต่คอยเกาะหน้าเกาะหลังวอแวเขาไม่ห่างเลยเธอเห็นรึเปล่า"
"ก็เขาทำงานด้วยกัน เธอก็คิดมาก"
"เรื่องแบบนี้คิดน้อยได้เหรอ เธอไม่ได้รู้จักยายนั่นมาตั้งแต่เด็กเหมือนฉันกับยายเจนนี่นา เลยไม่รู้ว่าเห็นหงิมๆ แบบนั้นแต่จริงๆ นางร้ายกาจขนาดไหน เธอเย็นชาเกินไปแล้วนะเปิ้ล ถ้าเห็นขนาดนี้แล้วยังทำไม่หือไม่อือได้ลงคอก็แปลว่าเธอชะล่าใจมากๆ ฉันนี่ไม่อยากจะเชื่อเลย ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะยื่นคำขาดให้เขาไล่ยายนั่นออกจากงานให้ได้!"
แต่จริงๆ แล้วปณาลีก็แค่แกล้งทำเป็นเฉยต่อหน้าพราวรุ้งด้วยความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีที่ยังพอมีเหลืออยู่เท่านั้นเอง เพราะหลังจากนั้นเธอก็รีบเอาเรื่องทั้งหมดไปฟูมฟายใส่ปณิธิไม่ยั้ง ทั้งยังออกอาการสติแตกอย่างไม่คิดจะเก็บกดเอาไว้เลยสักนิดจนทำให้เขาตกใจยกใหญ่ ทั้งที่เธอเป็นคนกำชับธีวริทธิ์เองแท้ๆ ว่าอย่าปริปากเรื่องนั้นให้ปณิธิหรือใครรู้เด็ดขาด แต่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นตัวเธอเองที่หลุดปากพูดให้เขาฟังจนหมดเปลือก
"ต่อให้ฉันทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อรั้งเขาไว้สุดชีวิต มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะยังไงก็สู้สาวสวยคนใหม่ที่ทำให้เขารู้สึกสดใสซาบซ่าไม่ได้อยู่ดี มันน่าเจ็บใจชะมัด ฉันไม่น่าทำขนาดนั้นเลย"
"แล้วแกทำอะไรไปขนาดไหน"
"ก็ทำตามคำแนะนำจากหนังสือ'ร้อยแปดพันท่าลีลามัดใจสามี'ที่นายเคยซื้อให้กล้วยอ่าน แล้วกล้วยก็งอนและทิ้งมันเอาไว้ที่บ้านฉัน พอระแวงว่าสามีจะมีกิ๊ก...ฉันก็เลยเอาไปศึกษาแล้วทดลองทำตามคำแนะนำพวกนั้น นี่ทำไปแล้วเกือบห้าสิบท่าแต่ผลที่ได้ก็ก็เป็นอย่างที่เห็น คือเขาก็ยังแอบไปทำตาหวานใส่ผู้หญิงคนอื่นอยู่ดี"
"อะไรนะ..."
"ก็รูปพวกนั้นที่ฉันส่งให้ไง ยังไม่ได้ดูเหรอ ที่เขาทำท่าซึ้งมองหน้าสบตาปิ๊งๆ กับยายเด็กนั่นน่ะ รีบดูสิ"
"ฉันไม่ได้หมายถึงรูปพวกนั้น แต่หมายถึงร้อยแปดพันท่าอะไรนั่นของแกต่างหาก"
"..."
"แกเนี่ยนะ...ที่ทำแบบนั้นกับพี่ธี"
"..."
"ฉันว่า...ตอนนี้ฉันชักจะเริ่มเป็นห่วงแกนิดๆ แล้วล่ะเปิ้ล"
"..."
"เปิ้ล..."
"นี่... นายรูดซิปปากไว้ให้สนิทด้วยนะ ถ้าเอาไปบอกใครฉันจะฆ่านายแน่!"

1 comment:

  1. เปิ้ลเอ้ย เธอพลาดแล้ว ปั๊บรู้โลกรู้

    ReplyDelete