Friday, May 24, 2019

บทที่ 3 เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ

ปณาลีเรียนจบเฉพาะทางจากสาขาการให้ยาระงับความรู้สึกสำหรับผ่าตัดหัวใจ หลอดเลือดใหญ่ และทรวงอก ปัจจุบันเป็นวิสัญญีแพทย์ประจำศูนย์รักษาโรคหัวใจของโรงพยาบาลในเขตปริมณฑลแห่งหนึ่ง โดยส่วนใหญ่จะเดินทางไปทำงานแบบไปกลับ บางครั้งต้องนอนค้างที่บ้านพักของโรงพยาบาล แต่บางวันก็มีงานที่โรงพยาบาลในเขตกรุงเทพฯ
การพาครอบครัวแยกออกจากบ้านประจำตระกูลของสามีมาอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมติดสถานีรถไฟฟ้าจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ แม้จะถูกพ่อสามีกับแม่เลี้ยงบ่นว่าอยู่บ้างก็ตาม โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก ที่ทำให้เธอกับธีวริทธิ์ต้องยอมรับข้อเสนอจากครอบครัวสามีในการช่วยดูแลสาวน้อยในวันที่เธอจำเป็นต้องค้างที่โรงพยาบาล
วันนี้มัทนาแวะมาทานข้าวเย็นด้วยกะทันหันแบบไม่ได้บอกล่วงหน้า โดยอ้างว่ามาเพราะคิดถึงหลาน แต่ก่อนที่จะถูกปณาลีตั้งคำถามด้วยความสงสัย อีกฝ่ายก็ไขข้อข้องใจให้ฟังว่า...
"รุ้งบอกเราให้ช่วยหาทางยุเปิ้ลให้ตามคุณธีไปภูเก็ต"
"ถ้าหาใครมาดมซีวีทีแทนได้ เราก็อาจจะไป"
"ถามจริง?"
"จริง"
"งั้นเดี๋ยวเราลองถามดูให้นะ"
ปณาลีเลิกคิ้วพลางหัวเราะและรีบยั้งเพื่อนไว้เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะใช้โทรศัพท์ "โอ๊ยยย เราล้อเล่น!"
"เอาไงแน่เนี่ย" มัทนาทำหน้านิ่วมองอย่างค้นคว้า
"แต่นี่ก็แปลว่ายายรุ้งยังไม่เลิกหาทางให้เราจัดการกับนิศามนอีกเหรอ"
ล่าสุดพราวรุ้งยังคงส่งภาพถ่ายตอนธีวริทธิ์อยู่กับนิศามนมาให้เธอดู บอกว่าได้มาจากเจนจิราอีกที ภาพชุดนั้นเป็นเหตุการณ์ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง แม้พลิศจะไปด้วยแต่ภาพที่ได้มาไม่มีพลิศอยู่ด้วยเลย คนที่เธอรู้จักในภาพจึงมีแต่ธีวริทธิ์กับนิศามนเท่านั้น ปณาลียอมรับว่าภาพทั้งหมดทำให้เธอร้อนรนจนแทบทนไม่ได้ แต่ไม่ใช่เรื่องที่นิศามนดูสวยสดใสชวนให้อิจฉา แต่เป็นเพราะสายตาของธีวริทธิ์ที่เหมือนจะมองหล่อนราวกับหลงใหลอย่างลึกซึ้งและอ่อนหวานนั่นต่างหาก ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้ปณาลีรู้สึกถอดใจและไม่อยากพยายามอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการหว่านเสน่ห์ใส่สามีหรือการใส่ใจดูแลตัวเองให้ดูดีขึ้นด้วยวิธีการต่างๆ นานาซึ่งลองทำมาได้เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว
 "รุ้งเขาไม่ชอบมนเอามากๆ มานานแล้วล่ะ ก็ผู้ชายที่เขาเคยแอบรักตั้งสองคนดันไปชอบมนทั้งคู่ แล้วมันก็มีเรื่องให้หมั่นไส้และอิจฉาเด็กคนนั้นมาตลอดแหละ"
"แล้วมิ้นท์ว่าจริงๆ นิศามนเป็นคนยังไง"
"ไม่รู้สิ เราก็ไม่ค่อยได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ แต่เท่าที่เห็นเขาก็น่ารักดีนะ"
"นั่นสิ ขนาดเราเจอหนเดียวยังคิดว่าเขาน่ารักเลย แล้วคนที่ทำงานกับเขาตลอดจะรู้สึกยังไง...โดยเฉพาะผู้ชาย"
"เขาเป็นผู้หญิงในแบบที่ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบ สวยหวานพอดีๆ ท่าทางเรียบร้อยน่ารักแถมยังทำงานเก่งอีกต่างหาก ก็ไม่แปลกหรอกที่ผู้ชายจะปิ๊งผู้หญิงจะอิจฉา"
"นั่นสิ แล้วเท่าที่แอบตามส่องดู...คุณธีก็เหมือนจะปลื้มเขาไม่น้อยเลย ดูสนิทกันมากขึ้นทุกทีด้วย ถึงรวมๆ มันก็น่าจะเป็นเพราะเรื่องงาน แต่อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เพราะความใกล้ชิด..."
"พูดแบบนี้แปลว่าแอบคิดมาก... ถ้ากังวลก็ตามเขาไปภูเก็ตด้วยเลย"
"เราอยากไปมากเลยนะ แต่ก็ไม่อยากไป..."
มัทนาเลิกคิ้วก่อนจะหัวเราะอย่างอ่อนใจพลางสันนิษฐาน "ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้เปิ้ลตัดสินใจว่าจะหนักแน่นและเชื่อใจเขา ก็น่าจะเป็นเพราะว่าถอดใจและตั้งใจจะปล่อยไปตามเวรตามกรรม...?"
"ก็คงทำนองนั้น"
"แล้วอะไรกันที่ทำให้เปิ้ลหวั่นไหวได้ขนาดนี้ เท่าที่จำได้เราว่าเราไม่เคยเห็นเปิ้ลเป็นคนที่ถอดใจกับอะไรง่ายๆ แบบนี้เลยนี่นา ไปเจอหลักฐานอะไรเข้าเหรอ"
"เปล่าหรอก อาจจะเป็นเพราะปัจจัยหลายๆ อย่างรวมกัน เราแต่งงานกันมานานแล้ว มันก็ไม่แปลกที่เขาจะเบื่อ..."
"ไม่เบื่อหรอก ยังไม่เต็มเจ็ดปีเลย"
"ที่ผ่านมาเราทำตัวไม่ค่อยน่ารักกับเขาด้วยแหละ ปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายคอยเอาใจตลอดเลย"
"อะไรกัน เปิ้ลน่ารักจะตายไป น่ารักในแบบของเปิ้ล เราเองยังรักเปิ้ลเลย ใครๆ ก็รักเปิ้ลทั้งนั้น"
"มันไม่เหมือนกันนะ"
"นั่นสินะ..." มัทนาพูดพลางถอนใจเบาๆ "เรายังไม่ได้แต่งงานแต่ก็คิดว่าบางที...คนเป็นสามีอาจจะคาดหวังอะไรจากตัวภรรยามากกว่าคนที่เป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้อง แต่ถ้าเป็นเรา...เราคงไม่มีวันเบื่อเปิ้ลหรอก คุณธีเองก็ไม่เหมือนคนที่จะเบื่อเปิ้ลได้เลยสักนิดเหมือนกัน" กล่าวปิดท้ายด้วยท่าทีเชื่อมั่นจนคนฟังอดยิ้มหวานไม่ได้
"แต่ถ้าอยู่ๆ เขาไปเจอผู้หญิงที่ดีกว่า บางทีมันก็อาจจะอดเปรียบเทียบไม่ได้และทำให้หวั่นไหว ถ้าเรื่องมันแย่ขนาดนั้นจริงๆ เราก็คงโทษใครไม่ได้ เพราะก็ยอมรับว่าตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเราค่อนข้างเอาแต่ใจ อวดดี แล้วก็ชอบกวนประสาทเขา มากกว่าจะเป็นภรรยาที่น่ารัก พอเขามีโอกาสไปใช้เวลาร่วมกับคนที่ทำตัวน่ารักกับเขามากกว่าจนเผลอใจ มันก็อาจจะกลายเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ขึ้นมา..."
"ผู้ชายที่เอาภรรยาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่เพิ่งเจอไม่นานแล้วตัดสินแบบนั้น มันก็มีแต่พวกผู้ชายห่วยแตกขี้แพ้และเห็นแก่ตัวมากๆ เท่านั้นแหละ ภรรยาที่บ้านที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ต้องรับรู้ และเผชิญปัญหาทุกอย่างร่วมกันมาตลอดระยะเวลาหลายปี มันจะไปเหมือนเมียน้อยที่สามารถทำตัวเป็นความสบายใจให้เขาได้อย่างเต็มที่ เพราะไม่ต้องมีเรื่องจุกจิกหรือปัญหาครอบครัวมาคิดให้ปวดหัวนอกจากคอยออเซาะฉอเลาะได้ยังไง ลองได้แต่งงานเป็นผัวเมียกันจริงๆ แล้วเจอปัญหาบ้างผู้หญิงพวกนั้นก็อาจจะสติแตกจนทำตัวน่ารักอย่างตอนที่เป็นเมียน้อยเขาไม่ไหวเหมือนกัน"
พอได้ฟังเนื้อหาอันเคร่งเครียดจริงจังจากน้ำเสียงเรียบๆ ที่เกือบจะไร้อารมณ์ของมัทนาแล้ว ปณาลีก็พลันทำตาโตมองเพื่อนอย่างประหลาดใจ "มิ้นท์ยังไม่มีครอบครัวแต่ทำไมถึงเข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้ขนาดนี้ล่ะ"
มัทนาหัวเราะเก้อๆ "เรื่องทั่วๆ ไปแบบนี้ใครเขาก็เข้าใจมะ?"
"ไม่หรอก คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจนะ เราเองบางทียังหาคำตอบให้ตัวเองสำหรับปัญหาจากบางสถานการณ์ไม่ได้เลย"
"แต่เอาเป็นว่า...ถ้ามันเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมา ต่อให้ทำใจได้และไม่คิดจะโทษผู้ชาย เราก็อย่าโทษตัวเองเด็ดขาด เพราะเรื่องบางเรื่องมันก็ไม่มีใครผิด นะเปิ้ล..."
"ไม่หรอก เราแค่ตั้งใจว่าจะยอมรับทุกอย่างที่มันอาจเกิดขึ้นโดยไม่ไปเหนื่อยกับมันอีกแล้วเท่านั้น"
"ตายจริง ที่เรามาหาก็เพราะเป็นห่วงเธอนะ ไม่ได้จะมาพูดให้ยิ่งจิตตกไปกันใหญ่ นี่ไม่คิดมากใช่ไหม"
"บอกตามตรง คิดมากจนไม่รู้จะมากยังไงแล้ว แต่เราว่าเราทำทุกอย่างที่ควรในแบบของเราทำไปหมดแล้วล่ะ คงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้จริงๆ ซึ่งจากที่เห็นเราก็ค่อนข้างมั่นใจนะว่าเขายังรักเราไม่เปลี่ยนแปลง แต่ที่ยังแอบหวั่นใจก็เพราะกลัวว่าเขาจะเผลอไปมีใจให้คนอื่นด้วยทั้งที่ยังรักเราเท่าเดิม ถ้ามันเป็นแบบนั้นแล้วเขาต้องเลือก..."
"งั้นก็พูดกับเขาไปตรงๆ เลยสิ"
"ทำไมเราพูดไม่ออกก็ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเพราะกลัวคำตอบละมังถึงเอาแต่เลี่ยง... ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าเอาเข้าจริงตัวเองจะอ่อนแอขนาดนี้ได้ กลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้วเห็นสายตาที่หวั่นไหวของเขา หรือเขายอมรับว่ามีใจให้คนอื่นจริง... เราจะทนไม่ได้"
มัทนามองเพื่อนด้วยความเห็นใจอย่างสุดซึ้ง "กระทั่งเปิ้ลยังเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย"
"นั่นสิ ลึกๆ มันเผลอคิดอยู่ตลอดเลยว่า...ถ้ามันเป็นอย่างที่กลัวจริงล่ะก็ ต่อให้เราพยายามแค่ไหนก็คงสู้ผู้หญิงคนใหม่ของเขาไม่ได้อยู่ดี เวิ่นเว้ออยู่คนเดียวแต่ไม่กล้าพูดออกไปแบบนี้มันไม่ใช่นิสัยของเราเลยนะ ปกติเราปากดีจะตาย...ว่าไหม" ว่าแล้วก็ยิ้มเพลียๆ พร้อมกับถอนใจเฮือก "อีกอย่าง...ถ้ามันไม่ได้มีอะไร แล้วเราไปหาเรื่องก้าวก่ายงานของสามี มันก็คงเป็นการยุ่งไม่เข้าเรื่องที่ไม่เข้าท่าเลยจริงๆ"
"เราว่าเราพอจะเข้าใจเปิ้ลนะ อย่างบางทีเวลาดูละครเราถึงไม่เข้าใจกับตรรกะนางเอกบางคนที่คอยทำตัวเป็นคนดียื่นมือไปสอดเรื่องคนอื่นด้วยเหตุผลว่าเป็นห่วง...ต่อให้อีกฝ่ายเป็นคนในครอบครัวเดียวกันก็เถอะ เพราะเจ้าตัวเขาก็ด่าอยู่ปาวๆ ว่าอย่ายุ่งกับชีวิตเขา ถ้ามันจะต้องเจ็บปวดในท้ายที่สุดเขาก็ยินดีจะยอมรับผลของมันอย่างเต็มใจ เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง"
"..."
"แต่เราว่ากรณีนี้ของเปิ้ล เปิ้ลมีสิทธิ์ก้าวก่ายอย่างเต็มที่นะ เพราะมันคือชีวิตของเปิ้ลเอง เขาคือสามีของเธอและพ่อของลูก"
"เอาเป็นว่า...ขอรอดูไปอีกสักพักดีกว่า เรายังไม่อยากตีตนไปก่อนไข้"
"งั้นก็...ตามใจเปิ้ลละกัน บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรอย่างที่กังวลเลยก็ได้"
หลังจากนั้นมัทนาก็ชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้เพื่อนคิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ซึ่งความน่ารักของมัทนาก็ทำให้ปณาลีรู้สึกดีขึ้นได้จริงๆ

ธีวริทธิ์ติดต่อภรรยาไม่ได้เลยตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งบินไปถึงภูเก็ต เกือบสี่สิบแปดชั่วโมงที่ผ่านมาเขาได้รับข้อความตอบกลับจากเธอแค่ประโยคเดียวสั้นๆ เมื่อคืนนี้ว่า...'เดี๋ยวว่างแล้วจะโทรกลับนะคะ'
เขาเข้าใจหน้าที่ความรับผิดชอบและภาระในการงานของเธอเป็นอย่างดี ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้เขาก็ไม่อาจเพิกเฉยได้จริงๆ ซึ่งอาการของเขาในวันนี้คงดูวุ่นวายใจอย่างเห็นได้ชัด นิศามนจึงรู้สึกผิดสังเกตและออกปากถามด้วยความอดสงสัยไม่ได้
"คุณธีมีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ หรือว่ารายงานประชุมที่ให้ไปยังไม่โอเค..."
เขาเงยหน้าจากมือถือหันไปมองคนที่นั่งเบาะด้านข้างภายในรถตู้ด้วยสีหน้างงๆ เล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า "เปล่าครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี"
"ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกมนได้นะคะ ถ้าเป็นเรื่องในทีมมนจะรีบจัดการให้ทันที พักนี้คุณแพตคงไม่มีเวลาเข้าออฟฟิศสักเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณธีมีอะไรเร่งด่วนแจ้งผ่านมนได้เลย คุณแพตเคลียร์คิวให้ได้ตลอดค่ะ" วันนี้พลิศก็ติดงานอื่นเช่นกัน เลยต้องให้นิศามนมาพบเอเจนต์จากจีนและดูไบกับธีวริทธิ์แทน นอกจากสตาร์ตอัพตัวนี้แล้วพลิศยังต้องรับผิดชอบงานในส่วนของธุรกิจครอบครัวที่เขาทำมาตลอดด้วย
"จริงๆ ในฝั่งสตาร์ตอัพเราค่อนข้างมีปัญหายุ่งยากกับทางเดลต้าอยู่ครับ แต่ผมเชื่อว่าแพตจะปิดดีลได้ภายในอาทิตย์นี้ก็เลยไม่ได้ติดใจอะไร นอกนั้นก็ไม่มีอะไรต้องห่วงเลย"
"ค่ะ"
"แต่ว่า...ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม"
"คะ?"
"คุณแต่งงานรึยัง"
คำถามไม่คาดคิดดังกล่าวทำให้นิศามนกะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเขากระจ่างนัก เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาธีวริทธิ์ไม่เคยตั้งคำถามในทำนองนี้ และไม่เคยมีทีท่าว่าจะสนใจเรื่องส่วนตัวของใครเลย
"น่าจะยังสินะ" ชายหนุ่มสรุปเอาเองจากปฏิกิริยาของเธอ "แล้วมีแฟนรึเปล่า"
"เอ่อ... คือ..."
ท่าทีอึกอักของเธอทำให้เขาสรุปเองว่าเธอมีคนรักแล้ว "ช่วยบอกผมหน่อยสิว่า ปกติแล้วคุณจะขาดการติดต่อกับแฟนนานที่สุดกี่ชั่วโมง แล้วส่วนใหญ่เป็นเพราะอะไร"
เธอฟังคำถามแล้วหัวเราะแห้งๆ "มนยังไม่มีแฟนเลยค่ะ"
"อ้าว..."
"ขอโทษนะคะ"
"ไม่เป็นไร" ชายหนุ่มบอกและยิ้มอย่างไม่ถือสาก่อนจะเลิกสนใจเธออีก แล้วหันไปหาที่พึ่งใหม่เป็นคนนั่งเบาะด้านหลังเขา "แล้วคุณล่ะ"
"ส้มแต่งงานมาสี่ปีแล้วนะคะ ไม่ได้งอนแฟนแบบนั้นมาตั้งนานแล้วล่ะค่ะ ลืมโมเมนต์พวกนั้นไปหมดแล้ว"
"แต่ผมแต่งงานกับภรรยามาเกือบเจ็ดปีแล้วนะ แล้วทำไม..." เขาพูดแล้วชะงักไป
"หมายถึงตอนนี้คุณหมอเธอกำลังงอนอะไรเจ้านายอยู่งั้นหรือคะ... เอ่อ...ขอโทษนะคะที่ละลาบละล้วง..."
"ไม่เป็นไร ผมเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน" เขาบอกให้ผู้ช่วยคลายใจ "ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้เขางอนหรืออะไร แต่เขาไม่รับสาย ไม่อ่านข้อความ แล้วติดต่อกลับค่อนข้างช้าผิดปกติ ทั้งที่รู้ว่าวันนี้ผมต้องมาทำงานต่างจังหวัด มันค่อนข้างผิดสังเกตมาก เพราะถึงบางทีจะทำเหมือนไม่สนใจแต่ผมรู้ว่าเธอแคร์ผมมาก และจัดผมให้เป็นความสำคัญในลำดับต้นๆ เสมอ ไม่เคยละเลยผมนานขนาดนี้"
"แค่วันสองวันนี่นานแล้วหรือคะ..."
"นานสิ นานมาก"
คำพูดที่สวนกลับมาทันควันเหมือนขัดใจอย่างยิ่งของธีวริทธิ์ทำให้คนเป็นผู้ช่วยต้องกลั้นยิ้ม และแอบคิดในใจ...ผู้ชายท่าทางภูมิฐานและมีความน่าเชื่อถืออย่างเต็มเปี่ยมอย่างเจ้านายเธอ เวลาที่งอแงเพราะเมียไม่สนใจก็น่ารักดีเหมือนกัน... 
"ส้มว่าเธอคงไม่ว่างจริงๆ ละมัง ปกติคนเป็นหมอจะงานยุ่งมากไม่ใช่หรือคะ"
"แต่เปิ้ลไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เราสองคนออกจะ..." ธีวริทธิ์ชะงักคำพูดที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวเอาไว้อย่างนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรหลุดปากออกไปมากกว่านั้น แล้วจึงพยายามส่งข้อความหาภรรยาต่อไปโดยไม่ชวนใครคุยต่อ เขาไม่สนใจเลยว่าตัวเองจะถูกคนในรถจับตามองด้วยความสงสัย แถมยังถูกนินทาอยู่ในใจกันเงียบๆ ด้วย

ในที่สุดคืนนั้นปณาลีก็ส่งคลิปสั้นๆ ที่ลูกบอกรักและคิดถึงเขามาให้ โดยไม่มีภาพของเธอติดมาด้วยและไม่มีเสียงของเธอติดเล็ดลอดมาให้ได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว พอเขาส่งข้อความหาเธอก็ตอบกลับมาแค่ว่าวันนี้ทำงานเหนื่อยมากและหมดแรงคุยโทรศัพท์ คลิปที่น่าเอ็นดูของลูกอาจจะช่วยเยียวยาและทำให้ธีวริทธิ์ยิ้มแก้มปริด้วยหัวใจที่พองโต แต่ความสุขของเขาจะสมบูรณ์แบบได้จริงๆ ก็ต้องมีภรรยามาเติมเต็มด้วย
เมื่อคิดมากจนเกิดความวุ่นวายใจถึงขีดสุด ชายหนุ่มจึงตัดสินใจโทรศัพท์ถึงน้องชายตัวเองซึ่งเป็นศัลยแพทย์หัวหน้าศูนย์โรคหัวใจที่ปณาลีประจำอยู่ แต่พอฟังเขาปรับทุกข์ไม่กี่คำอีกฝ่ายก็บอกให้เขาทำใจให้สบาย และหาว่าเขากังวลจนเกินเหตุไปเอง เพราะปกติปณาลีก็เป็นของเธอแบบนี้อยู่แล้ว...
"นายก็พูดได้น่ะสิ คุณพิ้งค์เอาใจเก่งแล้วก็น่ารักจะตาย ห่างกันนิดหน่อยก็โทรหาตลอด ไม่เคยทิ้งให้นายต้องคิดมากจนน้อยใจเลยสักครั้ง แล้วตอนนี้ยังมีการเซ็กซ์โฟนกันอยู่ไหม" ธีวริทธิ์ถามด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้แกมอิจฉาอย่างปิดไม่มิด
"เฮ้ย!ไม่เคยนะครับ!"
"อ้าว จำได้ว่าเมื่อก่อนนายเคยเล่าให้พี่ฟังนี่นา"
"นั่นมันตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้วครับ ผมแค่เคยพยายามจะทำแบบนั้น... แต่พิ้งค์ยอมเสียที่ไหน งอนไปตั้งหลายวัน"
"แต่ยังไงพวกนายก็ยังน่าอิจฉาอยู่ดี..."
"พูดยังกับเปิ้ลไม่รักพี่ธี เขารักพี่ธีมากเลยนะครับ แต่การแสดงออกของคนเราไม่เหมือนกัน"
"พี่รู้... แล้วจริงๆ เขาก็แสดงออกมาให้พี่รับรู้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วล่ะ แต่อาจจะผิดที่พี่เองก็ได้ ที่ยิ่งเขาแสดงออกมามากเท่าไหร่พี่ก็ยิ่งต้องการมากขึ้นอีกเรื่อยๆ แล้วถึงจะมากแค่ไหนก็ไม่เคยพอ..."
"แต่ต่อให้รู้สึกว่าไม่พอยังไง พี่ธีก็อย่าเผลอไปรับหรือขอจากคนอื่นมาเติมเต็มละกันครับ ถ้าเปิ้ลรู้เข้าล่ะก็มีหวัง..."
"จะบ้าเหรอ ใครจะไปทำแบบนั้นกันล่ะ ถ้าพี่ยังรู้สึกอะไรกับคนอื่นนอกจากเขาได้ล่ะก็ เขาจะทำให้พี่เวิ่นเว้อได้ขนาดนี้มาเป็นสิบปีรึไง นี่นายอย่าเผลอไปพูดจาพล่อยๆ ทำนองนี้ให้เปิ้ลได้ยินเชียวนะ!"
อาการโวยวายอย่างตื่นตูมของพี่ชายทำให้ภีมากรหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะยอมรับปากอย่างแข็งขันแล้วขอตัววางสายไปดูคนไข้ พอโดนน้องชายทิ้งไปธีวริทธิ์จึงต้องโทรไปหาปณิธิแทน และพบว่าตอนนี้ปณิธิอยู่ที่ภูเก็ตเช่นกันเพราะมาประชุม
"งั้นดีเลย เดี๋ยวพี่ไปหาที่โรงแรม หมอสะดวกกินข้าวด้วยกันไหม"
"มีธุระด่วนอะไรรึเปล่าครับ"
"ก็ไม่เชิงหรอก พี่เพิ่งคุยธุระเสร็จและว่างพอดี"
เขาบอกไม่ถูกว่าทำไมต้องร้อนรนและเป็นกังวลกับสถานการณ์ตอนนี้นัก ทั้งที่เชื่อว่ามันไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่อีกใจกลับรู้สึกสังหรณ์แปลกๆ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้ปณาลีอ่อนหวานน่ารักกับเขามากจนทำให้เขามีความสุขล้นปรี่จนเคยตัวก็เป็นได้ พออารมณ์ขาดช่วงขึ้นมาอย่างกะทันหันเลยทำให้เกิดอาการเคว้งคว้างและกังวลจนเกินพอดี
"จริงๆ แล้วพี่รู้สึกว่าระหว่างพี่กับเปิ้ลมันเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติมาได้สักพักแล้วล่ะ"
มาถึงธีวริทธิ์ก็เปิดฉากอย่างไม่เสียเวลา เขามั่นใจว่าปณิธิเป็นคนหัวไวและเข้าใจง่ายไม่ว่าจะเรื่องอะไร
"แต่พออยู่ๆ เปิ้ลก็มาทำดีด้วยแถมยังน่ารักจนทำเอาพี่เคลิ้ม... มันก็เลยลืมเรื่องที่ตัวเองเอะใจตอนแรกไปเสียสนิท เอาเป็นว่า...หมอพอจะรู้ไหมว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับเปิ้ลรึเปล่า"
"เปล่านี่ครับ"
"นี่จะไม่เสียเวลาคิดคำตอบสักนิดเลยเหรอ ไม่เห็นต้องรีบร้อนขนาดนี้เลย"
ปณิธิฟังอีกฝ่ายสวนมาแล้วถึงกับหน้าเหวอเล็กน้อยและต้องกลั้นหัวเราะแทบตาย แม้ว่าแววกังวลในดวงตาของน้องเขยที่แก่กว่าเขาหลายปีจะทำให้รู้สึกเห็นใจจนอยากจะอธิบายเรื่องทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟังจนกระจ่างแจ้ง แต่ติดที่รับปากน้องสาวเอาไว้แล้วว่าจะไม่พูด เพราะเธออยากรอดูให้แน่ใจก่อนว่าธีวริทธิ์ไม่ได้เผลอมีใจให้ผู้หญิงคนอื่นจริงๆ
แต่ปณิธิก็อดขำไม่ได้ที่ทั้งธีวริทธิ์และปณาลีต่างก็เอาปัญหาดังกล่าวมาปรึกษาเขาแทนที่จะคุยกันเองให้จบๆ ไปอย่างง่ายดาย ทั้งที่พวกเขาก็มักจะพูดกันอยู่เสมอว่าเขาเป็นคนขี้แกล้งที่ไว้ใจไม่ได้... ทว่าบางครั้งความรักก็คงทำให้คนที่เข้มแข็งเกิดความอ่อนแอจนต้องหาเรื่องถ่วงเวลาและเอาแต่หลีกเลี่ยงการเผชิญความจริงไปเรื่อยๆ
"เปิ้ลเขาก็...ดูปกติดีทุกอย่างนี่ครับ วันนี้ผมก็เพิ่งคุยด้วย พอดีเมื่อเช้าโทรหาภีมเพราะหมอนั่นไม่ยอมมาประชุมที่นี่ด้วย ก็เลยได้คุยกับเปิ้ลนิดหน่อย"
"อะไรกัน พี่โทรหาเขาไม่เห็นรับสายเลย"
"จังหวะไม่ดีมังครับ ผมโทรไปตอนเขาเสร็จเคสกันแล้วและกินข้าวกันอยู่ ยังคุยกันเรื่องยายหนูอยู่ตังนาน"
ธีวริทธิ์นิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"ตอนแรกผมนึกว่าวันนี้เปิ้ลจะมาประชุมด้วยเสียอีก แถมพี่ธีเองก็มาธุระที่นี่พอดี เขาน่าจะพาลูกมาด้วย พี่ธีไม่ได้ชวนหรือครับ"
"ไม่ได้ชวน เพราะพี่ไม่รู้เรื่องประชุมอะไรนี่เลย แล้วก็คิดว่าเปิ้ลคงไม่ว่าง"
"แต่จริงๆ ถึงชวนเขาก็คงไม่มาหรอกครับ เพราะเมื่อวานกับวันนี้มีหมอมือหนึ่งจากญี่ปุ่นไปช่วยเคสของภีม เปิ้ลเค้าปลื้มโปรเฟสเซอร์นากาฮาชิมาก ยังไงก็คงต้องอยู่เข้าเคสด้วย"
"คนที่เปิ้ลปลื้มงั้นเหรอ เขาเป็นใคร..."
"เป็นหมอผ่าตัดหัวใจมือหนึ่งของโลกเลยนะครับ เปิ้ลเคยบอกว่าเขาอยากไปเทรนกับทีมของโปรเฟสเซอร์นากาฮาชิ ผมเองก็มีแผนจะไปเรียนต่อในเซ็นเตอร์ของเขาที่ญี่ปุ่นเหมือนกัน"
"ไม่เห็นเคยได้ยินเปิ้ลพูดถึงเลย"
"อ้าว จริงเหรอครับ... เขาอาจจะคิดว่าพี่ธีคงไม่สนใจ"
"มีเรื่องเกี่ยวกับเปิ้ลที่พี่เคยไม่สนใจด้วยเหรอ พี่สนทุกเรื่องนะ"
"นั่นสินะครับ" ปณิธิพูดพลางหัวเราะ "แต่เขาอาจจะไม่ได้คิดจะไปจริงๆ ก็ได้ เพราะถ้าไปก็คงต้องบอกพี่ธีล่วงหน้าเป็นปี ไหนจะยายหนูอีก เขาคงไม่ทิ้งลูกเล็กๆ กับสามีไปอยู่ต่างประเทศเป็นปี..."
"..."
"พี่ธีอย่าเพิ่งคิดมากจนเครียดเลยครับ ผมว่าเปิ้ลคงยังไม่คิดจะไปเร็วๆ นี้หรอก ได้ยินภีมบอกว่าโปรเฟสเซอร์นากาฮาชิออกปากชวนเหมือนกัน แต่เปิ้ลก็ยังไม่ได้ให้คำตอบว่าไง"
"แล้วทำไมเปิ้ลต้องปลื้มเขาด้วย"
"อ้าว ก็เพราะเขาเก่งไงครับ" ปณิธิตอบเสียงกลั้วหัวเราะเหมือนมิได้รับรู้ถึงอารมณ์ขัดเคืองหรือความกังวลใจของอีกฝ่ายเลย "ที่สำคัญฮาร์ตเซ็นเตอร์ของโปรเฟสเซอร์นากาฮาชิเป็นทีมผ่าตัดหัวใจที่มีรีซัลต์ดีที่สุดในโลกตอนนี้เลยนะครับ แต่ว่าถึงเขาจะหล่อและยังไม่ได้แต่งงานเปิ้ลก็คงไม่ได้ชอบเขาเพราะเหตุผลพวกนั้น น่าจะชอบเพราะเขาเก่งนี่แหละ ผมได้ยินมาว่าเห็นเขาเหมือนจะเป็นคนนิ่งๆ ขรึมๆ แต่จริงๆ โปรเฟสเซอร์แกเจ้าชู้มาก เปิ้ลมันเกลียดผู้ชายเจ้าชู้จะตาย"
"..."
"แต่แบบเปิ้ลนี่สเป็กเขาเลยนะครับ เพราะมีคนบอกว่าผู้หญิงที่เขาคบส่วนใหญ่จะพิมพ์เดียวกับเปิ้ลนี่แหละ แต่เขาคงไม่สนเพราะเปิ้ลแต่งงานแล้ว"
"เขารู้ใช่ไหมว่าเปิ้ลแต่งงานแล้ว"
"เอ่อ...อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ เพราะปกติเวลาไปทำงานเปิ้ลมันก็ไม่ได้ใส่แหวนด้วย แล้วเวลาคุยกันก็จะไม่คุยเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่"
พอพูดออกไปหมดแล้วได้เห็นปฏิกิริยาของธีวริทธิ์ ปณิธิก็เริ่มเป็นห่วงและบอกว่าตัวเองควรจะหยุดมาตรการปั่นประสาทน้องเขยได้แล้ว จึงรีบชวนคุยเรื่องอื่นที่ช่วยให้อีกฝ่ายผ่อนคลายแทน
แต่ก็เหมือนโชคชะตาต้องการจะตอกย้ำซ้ำเติมความกังวลของธีวริทธิ์ให้ยิ่งรุนแรงขึ้น คืนนั้นเขาจึงมีโอกาสได้พบกับโปรเฟสเซอร์นากาฮิชิที่บาร์ของโรงแรม ทำให้ได้รู้จักและคุยกันอยู่เล็กน้อย ทว่าแม้จะได้สนทนากันเพียงไม่กี่นาที ธีวริทธิ์ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงเสน่ห์อันลุ่มลึกของอีกฝ่าย เขาพยายามจะไม่คิดมากและไม่คิดแทนผู้หญิง...โดยเฉพาะภรรยาตัวเอง ว่าจะรู้สึกอย่างไรเวลาได้ใกล้ชิดกับผู้ชายคนนี้
คืนนั้นพอกลับที่พักไปแล้วเขาต้องข่มใจอย่างมากที่จะไม่ติดต่อถึงปณาลีด้วยความร้อนใจอย่างตีตนไปก่อนไข้ เพราะว่ามันดึกมากแล้ว แต่เช้าวันต่อมาสีหน้าของเขาคงแย่มากจนผิดสังเกต นิศามนจึงออกปากทักทันทีที่เจอกัน
"คุณธีกังวลเรื่องข้อเสนอจากทางจีนรึเปล่าคะ จะให้มนโทรหาคุณแพตตอนนี้เลยไหม เผื่อจะให้คุณแพตตามมาคุยด้วยวันนี้..."
"ไม่ต้อง ไม่ใช่เรื่องนั้น"
นิศามนพยักหน้าเป็นเชิงรับทราบ แต่ก็ยังอดมองเขาด้วยความสงสัยไม่ได้อยู่ดี
"ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป...ผมขอให้คุณช่วยอะไรอย่างได้ไหม"
"ได้สิคะ บอกมาเลยค่ะ ถ้าช่วยได้มนจะช่วยทันที"
"ผมติดต่อภรรยาไม่ได้มาสองวันแล้ว แต่วันนี้ผมไม่อยากกังวลกับการพยายามติดต่อหาเธออีก เพราะวันนี้คุยกับเอเจนต์จากจีนเสร็จผมมีนัดงานอื่นต่อที่อีกโรงแรมหนึ่ง ดังนั้นคุณช่วยติดต่อภรรยาผมให้ทีได้ไหม"
อาจเป็นเพราะธีวริทธิ์ไม่เคยมีปัญหากับภรรยาอย่างจริงจังมาก่อนเลยก็เป็นได้นับตั้งแต่แต่งงานกันมา ลางสังหรณ์ที่เกิดจากท่าทีอันน่าสงสัยเล็กๆ น้อยๆ ของภรรยาในคราวนี้จึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก แม้จะพยายามย้ำกับตัวเองซ้ำๆ ว่าไม่ควรคิดมากจนเกิดเหตุ แต่ความกังวลอันน่าประหลาดก็ตามก่อกวนความรู้สึกตลอดเวลาจนจิตใจไม่สงบสุข
"พยายามโทรหาเธอให้ผมหน่อย อาจจะติดต่อยากสักหน่อยเพราะเวลาทำงานเธอจะไม่รับโทรศัพท์ คุณต้องกะเวลาโทรไปเรื่อยๆ จนกว่าเธอจะรับสายและมีเวลาคุยด้วย เดี๋ยวผมจะเขียนรายละเอียดที่ผมต้องการให้คุณบอกกับเธอให้"
คนฟังกะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง หากก็รีบพยักหน้ารับคำอย่างไม่อิดออด...

Friday, May 17, 2019

บทที่ 2 รู้สึกเหมือนได้อยู่บนสวรรค์

แม้ว่าการปรนเปรอเอาใจอย่างอ่อนหวานน่ารักของภรรยาในครั้งนี้จะทำให้รู้สึกดีเพียงใด แต่ธีวริทธิ์ก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า...อันที่จริงแล้วอะไรกันแน่คือสาเหตุสำคัญของความใจดีราวกับนางฟ้าจากสรวงสวรรค์ และความใจกว้างดังมหาสมุทรแปซิฟิคของเธอ...
"ช่วยจูบผมอีกทีได้ไหม..." คำขอของเขาแตกพร่าทว่านุ่มนวลดุจกำมะหยี่ ดวงตาคมฉ่ำเชื่อมที่มองเธออย่างออดอ้อนด้วยอารมณ์ลึกซึ้งยังคงคุกรุ่นไปด้วยแรงพิศวาสอันล้นปรี่ อาจจะเรียกได้ว่าเธอทำให้เขาย่ามใจก็เป็นได้ ตอนนี้ธีวริทธิ์จึงอยากจะผลักดันให้อารมณ์เธอเตลิดไปไกลยิ่งกว่าที่เธอตั้งใจไว้ ในขณะที่ตัวเขาเองก็ไม่คิดจะยอมหยุดตัวเองง่ายๆ
"จูบอีกล้านทีก็ได้..."
"นี่ผมยังมีชีวิตอยู่ไหม... หรือว่าจริงๆ ผมตายไปแล้ว"
"ทำไมถามแบบนั้น"
"ก็นี่มันยิ่งกว่าเหมือนอยู่บนสวรรค์เสียอีก อยู่ๆ คุณก็น่ารักขึ้นมาขนาดนี้จนตั้งรับไม่ทัน คุณตามใจผม คุณทำทุกอย่างที่ผมเคยขอแต่คุณปฏิเสธ..." เขากระซิบบอกแล้วจูบเธอเบาๆ กลีบปากอิ่มของเธอตอนนี้ดูเหมือนจะช้ำระบมขึ้นเล็กน้อยเพราะต้องรับมือกับจุมพิตอันดูดดื่มนับครั้งไม่ถ้วนจากเขา รวมถึงการที่เธอใช้ริมฝีปากสัมผัสไปทั่วร่างเขาด้วย...
"ปกติฉันไม่น่ารักเลยสินะคะ"
น้ำเสียงบวกกับสีหน้าแง่งอนนิดๆ ของเธอทำให้เขาเผลอยิ้ม "ไม่... คุณเป็นคุณที่น่ารักที่สุดสำหรับผมเสมอ วันนี้คุณแค่ทำให้ผมประหลาดใจ แต่คุณคงรู้ว่าตัวเองสำคัญกับผมแค่ไหน..."
เธอมองตาเขาอย่างค้นคว้า ก่อนจะอุทานเบาๆ ด้วยความตกใจเมื่ออีกฝ่ายจับเธอพลิกตัวให้ขึ้นมาทาบทับบนร่างแข็งแกร่งของเขาอย่างไม่ให้ทันได้ตั้งตัว ให้เธอได้สัมผัสและรับรู้ถึงแรงปรารถนาที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงง่ายๆ ของเขาอย่างชัดเจนจนน่าตระหนก ถ้าหากอยู่ในช่วงเวลาปกติเหมือนที่เคยเป็นมา ตอนนี้ปณาลีอาจจะขืนตัวออกห่างพร้อมกับขอร้องให้เขาพักก่อนสำหรับคืนนี้ แต่ในเมื่อเธอเป็นคนปลุกเร้าจนอีกฝ่ายเตลิดไปไกลอย่างเห็นได้ชัดและคงจะหยุดตัวเองไม่ได้ง่ายๆ เธอจึงไม่คิดจะห้ามปรามการเอาแต่ใจอย่างรั้งตัวเองไม่อยู่ของเขาแม้แต่น้อย...
"ว่าไงครับ คุณรู้ไหม..."
ปณาลีพยักหน้าตอบเบาๆ รับรู้ได้อย่างชัดเจนจากแววตาของอีกฝ่ายว่าคืนนี้เขาคงไม่ปล่อยให้เธอได้พักง่ายๆ แต่ในเมื่อเธอเป็นคนเริ่มเรื่องนี้เอง เธอก็จะไม่ผลักไสหรือหนีไปจากอ้อมกอดของเขาอย่างไร้ความรับผิดชอบ แม้ว่าจริงๆ ก็อดกระอักกระอ่วนอยู่ลึกๆ ไม่ได้ที่รู้สึกว่าตนถึงกับยอมทิ้งความหยิ่งทะนงทั้งหมดเพื่อพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้เขาเปลี่ยนใจไปหาคนอื่น...จนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่เธอก็ตัดสินใจปัดความคิดดังกล่าวทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เพราะเหนือสิ่งอื่นใดคือเธอตระหนักชัดแล้วว่าตัวเองรักและหวงแหนเขาเกินกว่าจะยอมสูญเสียไปได้ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดก็ตาม...
"แล้วคุณรู้ไหมคะ ว่าคุณสำคัญสำหรับฉันมากแค่ไหน"
คำถามนั้นทำให้ดวงตาคมกริบที่มองสบเธอไหวระริกด้วยความคาดหวังทันทีขณะเขาส่ายหน้าตอบเบาๆ "ไม่... ผมไม่รู้เลย..." ปลายประโยคนั้นน้ำเสียงเขาแตกพร่าและขาดห้วงเล็กน้อยเมื่อเธอขยับตัวอย่างเชื่องช้าเพื่อทำการครอบครองเขาอย่างนุ่มนวล ชายหนุ่มสูดหายใจลึกพร้อมกับเคลื่อนไหวร่างกายให้สอดคล้องกับจังหวะอันเร่าร้อนทว่าเต็มไปด้วยความอ่อนหวานน่ารักของคนตัวเล็กที่ตอนนี้กุมอำนาจอยู่เหนือเขาทุกอย่าง
"สำหรับฉันคุณสำคัญที่สุด..."
"เปิ้ล..."
"ขา..."
"คุณน่ารักเกินไปแล้ว คุณกำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย..."
"เว่อร์มาก" เธอโน้มลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากได้รูป รับรู้ถึงลมหายใจร้อนระอุของเขาอย่างชัดเจน
"จริงๆ นะเปิ้ล คุณน่ารักมาก ผมรักคุณนะ..."
"รู้แล้วค่ะ..."
"คุณอยากได้อะไรผมจะให้ทุกอย่าง ลองขอมาสิ ขอผมเถอะ ได้โปรด..."
"แค่รักฉันก็พอ"
"ผมรักคุณที่สุด"
"รักแค่คนเดียวด้วยนะคะ รักแค่ฉัน..."
"แค่คุณคนเดียวเท่านั้น..." ธีวริทธิ์มองตาเธอพร้อมกับบอกตัวเองว่า เขาน่าจะไม่เคยรู้สึกอยากเป็นคนว่านอนสอนง่ายและยินยอมพร้อมทำทุกอย่างตามคำสั่งใครสักคนมากมายขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต
"คุณห้ามมองใครนะคะ ห้ามไปรักใครอีก อย่าทำให้ฉันเสียใจ..."
"ผมเป็นของคุณคนเดียว... จะเป็นของคุณแค่คนเดียวตลอดไป..."

ธีวริทธิ์กลั้นยิ้มขณะมองสีหน้าเรียบเฉยของภรรยาที่โต๊ะอาหาร เธอเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาป้อนข้าวเช้าให้ลูกสาววัยสองขวบและคุยเจื้อยแจ้วกับแกโดยไม่สนใจเขา เสมือนกับว่าไม่มีเขาอยู่ตรงนั้นด้วย แต่เกือบครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาแก้มเธอแดงระเรื่อ ทั้งยังพยายามหลบตาเขาเป็นพัลวัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานกี่ปี...เธอก็ไม่เคยเก็บซ่อนอาการเขินอายอย่างไร้เดียงสาในสถานการณ์เช่นนี้จากสายตาเขาได้
"วันนี้ผมไม่อยากไปทำงาน ไม่มีแรงเลย..." ชายหนุ่มพูดขึ้นมาทันทีที่พี่เลี้ยงพาลูกสาวของเขาออกจากห้องเพื่อไปเดินเล่นในสวนซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางบนชั้นดาดฟ้าของคอนโดมิเนียม
"ถ้าไม่มีงานสำคัญอะไรคุณก็นอนอยู่บ้านสิคะ"
"มีงานสำคัญตั้งแต่เช้ายันเย็นเลยล่ะ แต่ก็ไม่อยากไปอยู่ดี ไม่มีแรง..."
"งั้นก็กินเยอะๆ สิจะได้มีแรง"
"ถึงกินเยอะจนกลับมามีแรง วันนี้ก็ไม่อยากไปไหนอยู่ดี อยากอยู่บ้าน...กับคุณ"
"แล้วนี่เป็นอะไรคะ งอแงเป็นเด็กๆ เลย อย่าไปทำท่าทางแบบนี้ให้ใครเห็นเชียวนะคะ โดนล้อตายแน่" เธอยังเฉไฉทำตาดุใส่เขา แต่สองแก้มยังคงแดงก่ำไม่จาง
"ไม่เห็นถามเลย ว่าทำไมไม่มีแรง"
"ไม่อยากรู้!"
คนโดนแหวหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ "ผมอาจจะไม่มีแรงไปทำงาน แต่ยังมีแรงทำอย่างอื่นได้สบายเลยนะ จริงๆ แล้วก็คือ...ผมอยากทำแบบเมื่อคืนกับคุณอีก ได้ไหม..."
คำพูดหน้าตาเฉยอย่างหน้าไม่อายของเขาทำเอาคนฟังตาโตตัวแข็งทื่อไปเลย
"เปิ้ล..."
"คุณอย่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนแบบนั้นอีกนะ!"
"ทำไมล่ะ ก็เมื่อคืนคุณทำให้ผมมีความสุขมาก จนตอนนี้ก็ยังอินไม่หายเลยอยากพูดถึง คุณน่าจะเข้าใจความรู้สึกผมนะเปิ้ล วันนี้ผมคงอยากพูดถึงเรื่องของเราตลอดเวลา และอยากให้คุณทำแบบนั้นอีกหลายๆ ครั้ง..."
"คุณธี!"
"ครับ..."
"เลิกทำตาแบบนั้นได้แล้วค่ะ ไม่งั้น..."
"ไม่งั้นคุณจะทำอะไร ผมยอมให้คุณทำได้เลยทุกอย่าง ทำที่นี่...ตรงนี้เลยก็ได้ จริงๆ นะเปิ้ล เพราะอันที่จริงเราก็ยังพอมีเวลา..."
"โอ๊ยยย หยุดเลยนะ!"
"ร้องเสียงแบบนั้นทำไม ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย แต่ว่าผมอยากทำจริงๆ นะ ในหัวคิดถึงแต่เรื่องเมื่อคืนจนไม่รู้เลยว่าวันนี้จะเอาสมาธิที่ไหนมาทำงาน คุณน่าจะทำให้ผมสติแตกไปแล้วล่ะที่รัก"
"แต่ถึงสติจะแตกยังไง...คุณก็ช่วยหยุดพูดเรื่องนี้ทีเถอะ นี่ฉันอายจะตายอยู่แล้วรู้ไหม เรื่องเมื่อคืนนี้น่ะนะ...ต้องมีผีอะไรมาเข้าสิงฉันแน่ๆ!"
"อย่าโทษผี"
"ก็แล้วจะให้โทษอะไรล่ะ"
"ก็นั่นน่ะสิ ผมเองก็ยังสงสัยอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณ..."
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ น่าจะผีเข้านั่นแหละ"
"งั้น...แล้วตอนนี้ผีออกไปยัง ถ้ายัง...ผมจะโทรยกเลิกนัดเช้านี้แล้วอยู่กับคุณทั้งวันให้คุ้ม จนกว่าผีตัวนั้นจะออกจากร่างคุณเลย ผมอยาก..."
"..."
"ที่รัก ได้โปรดอย่ามองแบบนั้น คุณเป็นคนทำให้ผมเสียอาการจนกลายเป็นแบบนี้เองแท้ๆ ดังนั้นคุณต้องรับผิดชอบนะรู้ไหม เมื่อคืนผมไม่รู้ว่าคุณไปโดนอะไรมา แต่คุณทำตัวน่ารักกับผมอย่างเหลือเชื่อ และผมชอบที่คุณเป็นแบบนั้นจริงๆ ชอบมากๆ"
"เลิกย้ำซะทีได้ไหม!"
"ไม่ ผมคงเลิกคิดถึงมันไม่ได้จนกว่าคุณจะทำแบบนั้นกับผมอีกครั้งเพื่อเป็นการยืนยันว่าเมื่อคืนผมไม่ได้ฝันไป งั้นเอาเป็นว่าวันนี้ผมจะรีบเคลียร์งานแล้วรีบกลับบ้าน คุณเองต้องรีบกลับเหมือนกันนะเปิ้ล อย่าปล่อยให้ผมรอเก้อ นะครับ..."
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงและแววตาของเขาจะทำให้อ่อนไหวอย่างรุนแรงสักปานใด แต่ปณาลีก็ต้องพยายามปั้นหน้าดุทำตาขวางนิดๆ ใส่คนสติหลุดตรงหน้าด้วยท่าทางจริงจังขึ้น แล้วจึงเอ่ยปากออกไป "สรุปว่าคุณอยากให้ฉันทำแบบเมื่อคืนทุกวันเลยงั้นหรือคะ อยากให้ฉันเป็นแบบนั้นกับคุณทุกวัน?"
"อยาก... แต่ผมไม่ได้บังคับนะ" เขายอมรับเสียงอ่อน แต่ยังคงส่งประกายตาหวานเชื่อมข้ามโต๊ะมาออดอ้อนเธออย่างไม่ลดละ
"แล้วถ้าฉันไม่ยอมตามใจอีก...คุณจะเลิกรักไหม"
"ว่าไงนะ ผมเนี่ยเหรอที่จะเลิกรักคุณได้ด้วย?"
"ก็ถ้าฉันไม่ยอมตามใจคุณแบบเมื่อคืนอีก คุณจะไปอ้อนให้คนอื่นมาตามใจคุณแทนรึเปล่าล่ะ"
ชายหนุ่มนิ่วหน้าเล็กน้อย เริ่มเอะใจแปลกๆ กับคำพูดที่เอ่ยถึง 'คนอื่น'ของเธอ
"ถ้ามีคนที่เขาสวยกว่าฉัน ดีกว่า น่ารักกว่าฉัน... อือ...ไม่สิ...เอาเป็นว่า...ถ้าเป็นคนที่มีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกับฉัน แต่เขาเด็กกว่าเยอะมาก แล้วก็เป็นคนน่ารักที่จะยอมตามใจคุณทุกอย่าง คุณจะชอบเขาแล้วลืมฉันไปเลยรึเปล่า"
"..."
"คุณธี?"
"นี่ผมหูฝาดไปรึเปล่า ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้ยินคำถามทำนองนี้จากปากคุณ"
"..."
"นี่ระแวงอะไรผมอยู่ไหมเนี่ยถามจริง"
"..."
"เปิ้ล?"
"เปล่าหรอกค่ะ แค่ถามไปงั้นเอง" หญิงสาวไหวไหล่เบาๆ แล้วเสจิบกาแฟ "บางที...อาจจะเป็นแค่อาการอ่อนไหวในช่วง PMSเท่านั้นแหละ คุณอย่าสนใจเลยนะคะ"
"งั้นก็ห้ามระแวงผมจริงๆ นะ เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย และไม่มีทางจะทำด้วย"
"แน่ใจนะ..."
"แน่สิ!"
"งั้นก็...ดีแล้วล่ะค่ะ" เธอตัดสินใจยิ้มหวานพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้น "ฉันต้องรีบไปแล้ว"
"เดี๋ยวผมไปส่งนะ"
"ไม่ต้องค่ะ ไม่ทันแล้วล่ะ ไปรถไฟฟ้าดีกว่า" เธอบอกพร้อมกับเดินไปหอมแก้มเขาหนึ่งที "รักคุณนะ"

แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นธีวริทธิ์ก็หาโอกาสส่งข้อความและโทรถึงเธอเกือบทั้งวัน เพราะเขาไม่สามารถสลัดเหตุการณ์ในคืนที่ผ่านมาออกไปจากความคิดได้จริงๆ และชายหนุ่มจำเป็นต้องระบายความรู้สึกอัดอั้นทั้งหมดผ่านบทสนทนากับคู่กรณีซึ่งก็คือภรรยาของเขาเท่านั้น
"ไหนบอกว่าวันนี้คุณยุ่งทั้งวัน" เธอเอ่ยถามเมื่อโทรกลับหาเขาเป็นครั้งที่สามหลังจากไม่ทันรับสายล่าสุดที่อีกฝ่ายโทรเข้ามา
"วันนี้ผมงานยุ่งมาก แต่ที่วอแวไม่เลิกเป็นเพราะกังวลว่าจริงๆ แล้วเมื่อคืนนี้ตัวเองแค่ฝันไปเท่านั้น..."
"คุณแค่ฝันไปจริงๆ ค่ะ เพราะความจริงแล้วเมื่อคืนไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลย"
"..."
"ได้ยินแบบนี้แล้วสบายใจขึ้นยังคะที่รัก"
"ใจร้ายชะมัด"
สุ้มเสียงบ่นพึมพำอย่างขุ่นเคืองของเขาฟังแล้วน่ารักน่าเอ็นดูจนปณาลีต้องรีบกลั้นขำ ตั้งแต่มีลูกสาวคนหนึ่ง...เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้ลูกชายเพิ่มมาด้วยอีกคน เพราะบางครั้งเขาก็ชอบทำตัวงอแงเป็นเด็กๆ แข่งกับลูก ราวกับกลัวว่าเธอจะรักและเอ็นดูลูกจนลืมเขา
"ก็ดูเหมือนว่าเรื่องนั้นมันจะกลายเป็นปัญหาสำหรับคุณมากกว่าจะทำให้มีความสุขนี่นา งั้นเราก็ควรคิดซะว่าเมื่อคืนแค่ฝันไป..."
"คุณเสร็จงานรึยัง" เขารีบถามแทรกโดยไม่ยอมฟังเธอพูดให้จบ "ผมจะแวะไปรับตอนนี้เลย"
"..."
"ผมจะออกไปรับเลยนะ"
"มารับตอนนี้เนี่ยนะ มารับทำไมคะ"
"ก็ผมคิดถึง ผมไม่มีสมาธิทำอะไรเลย..."
คนฟังถึงกับอึ้งงันไป
"ให้ผมไปรับนะเปิ้ล นะครับ..."
"อย่ามาทำเสียงออดอ้อนแบบนี้นะ แล้วนั่นมีใครอยู่ใกล้ๆ จนได้ยินเข้ารึเปล่าน่ะ" เธอได้ยินเสียงปลายสายหัวเราะตอบกลับมาโดยไม่พูดอะไร "แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งมารับนะคะ ฉันยังกลับไม่ได้จริงๆ เดี๋ยวเสร็จงานแล้วจะกลับเอง คุณใจเย็นไว้นะ"
"งั้นคุณช่วยบอกรักผมด้วยเสียงแบบที่เราคุยกันเมื่อคืนหน่อยสิ บอกมาตอนนี้เลย นะที่รัก พอฟังแล้วผมจะรีบกลับเข้าห้องประชุมและตั้งใจทำงานโดยไม่กวนคุณอีกจนกว่าเราจะกลับไปเจอกันที่บ้าน นะครับ..."
"สรุปว่านี่ฉันคิดถูกรึเปล่านะที่เมื่อคืนทำแบบนั้นกับคุณ..."
"ถูกสิ ถูกชัวร์ล้านเปอร์เซ็นต์ และเราจะทำอีก..."
"แต่ว่ามันทำให้คุณเพ้อมากกก เพ้อแบบเวิ่นเว้อสุดๆ ไปเลยด้วย"
น้ำเสียงที่เหมือนจะทั้งมึนทั้งสับสนของเธอทำให้คนที่เอาแต่ละเมอเพ้อพกไม่หยุด ถึงกับหลุดขำออกมาเบาๆ "ก็ไม่ขนาดนั้นซะหน่อย"
"ไม่ขนาดนั้นอะไรล่ะคะ คุณเพ้อหนักมากเลยนะ นี่ไม่รู้ตัวจริงๆ เหรอ"
"อย่าบอกนะว่า คุณทำกับผมแบบนั้นโดยที่ไม่รู้ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง?"
"จริงๆ ก็คิดอยู่นิดหนึ่งนะคะว่าคุณคงชอบ... แต่ก็ไม่นึกว่าจะอาการหนักขนาดนี้..."
"งั้นคุณก็อย่าเอาไปบอกใครนะ ผมเขิน"
คนฟังถึงกับเผลอตัวค้อนลมฟ้าอากาศไปขวับหนึ่ง "คุณนั่นแหละ ห้ามเอาเรื่องของเราไปพูดให้ใครฟังเด็ดขาดเลยนะคะ อย่าหลุดปากบอกให้ปั๊บได้ยินเชียว ถ้าคุณทำให้ฉันโดนหมอนั่นล้อล่ะก็ ฉันจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาดแล้วกลั้นใจตายไปเลย!"
"ผมจะพยายาม" เขาพูดพลางกลั้นยิ้ม
"ไม่ใช่แค่พยายามค่ะ คุณต้องไม่เผลอปริปากเด็ดขาด!"
"แต่ใครๆ ก็ชอบคิดว่าคุณเย็นชา ไม่ค่อยสนใจผม เวลาเรามีโมเม้นต์ดีๆ แบบนี้บางทีผมก็เลยอยากอวดบ้างนี่นา คุณเข้าใจใช่ไหม"
"เข้าใจค่าาา... และคุณจะอวดอะไรก็ได้นะ แต่ต้องไม่ใช่เรื่องเมื่อคืน" หญิงสาวพยายามเค้นเสียงเตือนสติเขาอย่างจริงจัง เริ่มหลอนว่าเรื่องนี้อาจจะหลุดไปถึงหูใครสักคนในครอบครัวเธอในไม่ช้า "ครั้งนี้คุณต้องข่มใจเอาไว้ให้ได้นะคะ แล้วฉันจะพยายามไม่เย็นชาหรือใจร้ายกับคุณอีก นะคะคุณธี..."
"..."
"ฉันรับรองว่าต่อไปจะสร้างโมเม้นต์ที่ดีน่ารักน่าจดจำระหว่างเราให้คุณเอาไปอวดได้อีกเยอะๆ แต่คุณต้องไม่อวดเรื่องที่ฉันทำไปเมื่อคืนนี้เด็ดขาด เข้าใจไหมคะ"
"ก็ได้ครับ... แต่ก่อนอื่นคุณต้องสัญญามาก่อนว่าวันนี้จะรีบกลับ ส่วนผมจะกลับไปรออยู่กับลูกที่บ้านตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน"

"สรุปว่าเรื่องที่คุณธีจะไปภูเก็ตกับยายเด็กนั่น คุณหมอแกว่าไงบ้างคะพี่รุ้ง"
คำถามอย่างกระตือรือร้นจากเจนจิราทำให้พราวรุ้งฟังแล้วต้องกลอกตาพลางถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย เจนจิราแวะมาที่บ้านเธอในช่วงบ่ายวันหยุดพร้อมกับขนมที่แม่หล่อนมักจะทำมาฝากเสมอเหมือนเช่นเคย ทั้งคู่จึงนั่งทานและเม้าท์มอยกันเรื่อยเปื่อยในยามว่างตามประสาสาวโสด จนกระทั่งหัวข้อสนทนาวนมาที่เรื่องของปณาลีกับธีวริทธิ์
"ก็บอกว่านางไว้ใจคนของนาง และจะไม่ก้าวก่ายงานของเขาน่ะสิ"
"อะไรกันเนี่ย ทำไมคุณหมอใจเย็นได้ขนาดนี้ล่ะคะ"
"ก็คุณธีเขาไม่เคยนอกลู่นอกทางมาก่อน หมอเปิ้ลนางเลยไว้ใจสามีมาก"
"แต่พักนี้คุณธีดูแปลกๆ อยู่นะคะ เจนเชื่อว่าเจนไม่ได้คิดไปเองแน่นอน ท่าทางคุณธีเหมือนผู้ชายที่กำลังอินเลิฟหนักมากกก!"
"อินเลิฟ?"
"ใช่ค่ะ ก็เจนเห็นพักนี้เขาชอบคุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางมุมิงุ้งงิ้งเหมือนคนที่กำลังมีความรักกับแฟนข้าวใหม่ปลามัน"
"เขาก็คงคุยกับเมียเขานั่นล่ะ เพราะจริงๆ คุณธีเขาหลงยายเปิ้ลจะตายไป จะว่าไปแล้ว...ฉันเองก็เข้าใจยายเปิ้ลนะที่นางไม่คิดจะระแวงสามีเกี่ยวกับเรื่องนี้"
"แต่มันไม่เหมือนกันหรอกนะคะการคุยกับกิ๊กและเมียเนี่ย ผู้ชายที่แต่งงานอยู่กินกับเมียมาแล้วตั้งหลายปี...ต่อให้รักให้หลงเมียขนาดไหนก็คงไม่คุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางสวีตหวานเบอร์นั้นแบบคุณธีตอนนี้หรอกค่ะ บางทีเจนยังแอบเห็นเขานั่งทำตาหวานกับมือถือทั้งวัน อารมณ์ดีผิดปกติมากๆ รับรองว่าต้องไม่ใช่อาการของคนที่กำลังแชตหรือคุยโทรศัพท์กับเมียที่บ้านแน่ เพราะกับเมียที่แต่งงานกันมาห้าหกปีแล้วแถมยังมีลูกด้วยกันคนหนึ่ง...ไม่มีทางที่ผู้ชายจะทำท่าอินจัดแบบนั้นตอนคุยโทรศัพท์ด้วย"
พราวรุ้งทำหน้านิ่วอย่างชักจะเริ่มคล้อยตามการสันนิษฐานของอีกฝ่ายนิดๆ
"แล้วพี่รุ้งดูนี่สิคะ"
พราวรุ้งชะโงกไปมองที่จอมือถือของเจนจิรา จึงเห็นว่าภาพถ่ายที่อีกฝ่ายเปิดให้ดูเป็นภาพของธีวริทธิ์กับนิศามนที่กำลังยืนอยู่ด้วยกันบริเวณหัวโต๊ะภายในห้องประชุมแห่งหนึ่ง
"เวลาคุยกับยายเด็กนั่น คุณธีเขาทำตาหวานเบอร์นี้มองหล่อนด้วยนะคะ เจนเห็นแบบนี้แล้วมันคิดดีด้วยไม่ได้เลย"
"ตายแล้ว..."
"พี่รุ้งก็คิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะคะ แล้วทุกครั้งเวลาที่คุณธีมีสัมภาษณ์หรือมีกล้องมาถ่าย แม่คนนี้ก็เป็นต้องหาเรื่องมีซีนตลอด ถ้าไม่รีบมายืนข้างๆ เขาก็มีอันต้องหาทางวิ่งตัดหน้าตัดหลังกล้องเพื่อพาตัวเองไปอยู่ในเฟรมด้วยให้ได้ ไว้เจนจะไปหารูปทั้งหมดมาส่งให้ดู แล้วพี่ก็ช่วยเอาไปให้หมอเปิ้ลดูด้วยนะคะ ถ้าเห็นอย่างนั้นแล้วยังคิดจะมองหล่อนในแง่ดีได้อยู่ล่ะก็...เจนคงไม่รู้จะพูดอะไรอีก"
แต่ปรากฏว่า เมื่อพราวรุ้งเอาเรื่องทั้งหมดพร้อมกับภาพหลักฐานต่างๆ ที่ได้จากเจนจิราไปบอกต่อแก่ปณาลี เธอก็ต้องขัดใจอย่างหนักจนได้ เพราะอีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะยอมกังวลใจกับสิ่งเหล่านี้ไปด้วยเลย
"เขาแค่ทำงานด้วยกัน ไม่ได้มีอะไรกันหรอกน่า อย่าคิดมากเลยรุ้ง"
"เพื่อนคะ ทำไมเพื่อนใจเย็นขนาดนี้ จริงๆ แล้วคำพูดแบบนี้มันน่าจะเป็นคำพูดที่ฉันใช้ปลอบใจเธอมากกว่านะ แต่ดันกลายเป็นเธอต้องมาบอกฉันให้ใจเย็นเนี่ยนะ!"
"ก็เธอคิดมากเกินไปจริงๆ นี่นา เด็กคนนั้นเขาไม่เห็นมีอะไรน่าสงสัยเลย เขาก็มาทำงานตามทำหน้าที่เขาปกติ ถ้าคุณธีจะชอบเขา ก็คงชอบที่เขาทำงานดีเท่านั้นเอง"
"แล้วเธอไม่เห็นรูปที่ฉันส่งให้รึไง ยายนั่นทำตัวใกล้ชิดเกินเหตุมาก เอาแต่คอยเกาะหน้าเกาะหลังวอแวเขาไม่ห่างเลยเธอเห็นรึเปล่า"
"ก็เขาทำงานด้วยกัน เธอก็คิดมาก"
"เรื่องแบบนี้คิดน้อยได้เหรอ เธอไม่ได้รู้จักยายนั่นมาตั้งแต่เด็กเหมือนฉันกับยายเจนนี่นา เลยไม่รู้ว่าเห็นหงิมๆ แบบนั้นแต่จริงๆ นางร้ายกาจขนาดไหน เธอเย็นชาเกินไปแล้วนะเปิ้ล ถ้าเห็นขนาดนี้แล้วยังทำไม่หือไม่อือได้ลงคอก็แปลว่าเธอชะล่าใจมากๆ ฉันนี่ไม่อยากจะเชื่อเลย ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะยื่นคำขาดให้เขาไล่ยายนั่นออกจากงานให้ได้!"
แต่จริงๆ แล้วปณาลีก็แค่แกล้งทำเป็นเฉยต่อหน้าพราวรุ้งด้วยความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีที่ยังพอมีเหลืออยู่เท่านั้นเอง เพราะหลังจากนั้นเธอก็รีบเอาเรื่องทั้งหมดไปฟูมฟายใส่ปณิธิไม่ยั้ง ทั้งยังออกอาการสติแตกอย่างไม่คิดจะเก็บกดเอาไว้เลยสักนิดจนทำให้เขาตกใจยกใหญ่ ทั้งที่เธอเป็นคนกำชับธีวริทธิ์เองแท้ๆ ว่าอย่าปริปากเรื่องนั้นให้ปณิธิหรือใครรู้เด็ดขาด แต่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นตัวเธอเองที่หลุดปากพูดให้เขาฟังจนหมดเปลือก
"ต่อให้ฉันทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อรั้งเขาไว้สุดชีวิต มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะยังไงก็สู้สาวสวยคนใหม่ที่ทำให้เขารู้สึกสดใสซาบซ่าไม่ได้อยู่ดี มันน่าเจ็บใจชะมัด ฉันไม่น่าทำขนาดนั้นเลย"
"แล้วแกทำอะไรไปขนาดไหน"
"ก็ทำตามคำแนะนำจากหนังสือ'ร้อยแปดพันท่าลีลามัดใจสามี'ที่นายเคยซื้อให้กล้วยอ่าน แล้วกล้วยก็งอนและทิ้งมันเอาไว้ที่บ้านฉัน พอระแวงว่าสามีจะมีกิ๊ก...ฉันก็เลยเอาไปศึกษาแล้วทดลองทำตามคำแนะนำพวกนั้น นี่ทำไปแล้วเกือบห้าสิบท่าแต่ผลที่ได้ก็ก็เป็นอย่างที่เห็น คือเขาก็ยังแอบไปทำตาหวานใส่ผู้หญิงคนอื่นอยู่ดี"
"อะไรนะ..."
"ก็รูปพวกนั้นที่ฉันส่งให้ไง ยังไม่ได้ดูเหรอ ที่เขาทำท่าซึ้งมองหน้าสบตาปิ๊งๆ กับยายเด็กนั่นน่ะ รีบดูสิ"
"ฉันไม่ได้หมายถึงรูปพวกนั้น แต่หมายถึงร้อยแปดพันท่าอะไรนั่นของแกต่างหาก"
"..."
"แกเนี่ยนะ...ที่ทำแบบนั้นกับพี่ธี"
"..."
"ฉันว่า...ตอนนี้ฉันชักจะเริ่มเป็นห่วงแกนิดๆ แล้วล่ะเปิ้ล"
"..."
"เปิ้ล..."
"นี่... นายรูดซิปปากไว้ให้สนิทด้วยนะ ถ้าเอาไปบอกใครฉันจะฆ่านายแน่!"